จตุพร พรหมพันธุ์ มาอีกแล้ว เขาให้สัมภาษณ์เมื่อ 14 มกราคม 2553 ว่า ได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าอย่าได้เอาเรื่องคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทมาเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ดังนั้นจะชุมนุมใหญ่ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาคาดว่าจะอยู่ในห้วงเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งอาจจะเป็นหลังตรุษจีนไปแล้ว
“ครั้งนี้คนเสื้อแดงจะต่อสู้ให้ได้รับชัยชนะ ซึ่งจะเป็นครั้งที่เดิมพันทั้งชีวิต หากพ่ายแพ้ก็มีอยู่เพียง 2 หนทางคือ ถูกหามออกสนามรบกับการถูกจับไปขังคุกเท่านั้น จะไม่มีการชุมนุมใหญ่ครั้งที่ 2 อีก”
ประโยคทองของนายตู่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนแทบทุกแขนง บางฉบับอย่างโพสต์ทูเดย์วันที่ 16 มกราคมถึงกับนำกล่าวซ้ำในคอลัมน์ “พูดได้จำไว้ด้วย” มีน้ำเสียงเหมือนจะให้ผู้อ่านรำลึกว่าเคยมีถ้อยคำข่มขู่รุนแรงถึงเลือดเนื้อลักษณะนี้มาก่อนโดยได้นำคำกล่าวครั้งนี้มามาเทียบกับที่เคยพูดเอาไว้เมื่อ 31 ตุลาคม 2552 ที่เขาเคยบอกว่า
“หลังจากช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนคนเสื้อแดงจะออกมาชุมนุมยืดเยื้อเพื่อปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลทุกด้านและหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์โดยใช้ทุนทรัพย์ที่มีอยู่ 18 ล้านบาทเทหมดหน้าตักเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายการชุมนุม เชื่อว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์จะอยู่ได้ไม่เกินปลายปีนี้แน่นอน”
แต่กาลเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคำข่มขู่ของนายคนนี้ไม่เป็นจริง เพราะที่สุดก็มีการประกาศเลื่อนชุมนุมวันที่ 29 พ.ย.ออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผ่านเดือนธันวาคมทั้งเดือน ครั้นพอเข้าปี 2553 แดงกลุ่มนี้ก็ประกาศนำกำลัง 3 หมื่น (ย้ำสามหมื่น) ไปบุกเขายายเที่ยง ซึ่งปรากฏมีคนแค่ 2-3 พันพอหลังสามทุ่มก็ทยอยกลับจนโฆษกเวทีตกใจรีบประกาศขอร้องไม่ให้กลับเพราะมีการถ่ายทอดสด ตอนแรกกะจะปักหลักอยู่ถึงบ่ายรอ พล.อ.สุรยุทธ์ แถลง แต่ตกเช้ามีคนเหลือเพียงหยิบมือรีบทำพิธีเปิดหมู่บ้านแต่งตั้งแรมโบ้เป็นผู้ว่า แล้วก็เผ่นกลับ
ในเวทีดังกล่าวสังคมไทยก็ได้เห็นวาจาผีสางของนายจตุพรคนเดียวกันนี้อีกครั้งที่ขู่ฟ่อว่าถ้าเจ้าหน้าที่รัฐทำมิดีมิร้ายคนเสื้อแดงจะชุมนุมยืดเยื้อต่อบนเขายายเที่ยง(ฮา-ห้าทุ่มเหลือแค่หลักร้อย) แถมยังบอกว่าจะปลูกสวนป่าที่สวยงามทดแทนต้นไม้ที่ถูกไถไป จริงอยู่ที่เช้ารุ่งขึ้นมีการเอาต้นไม้ไปแหย่ ๆ ทิ้งไว้บนดินในนามของการปลูกสวนป่า ซึ่งผ่านไปไม่กี่วันเหี่ยวแห้งตายหมดแล้ว
นายคนนี้ถูกจับเท็จได้เป็นประจำ ทำให้ต้องมาพินิจกับอีกครั้งว่าการข่มขู่ครั้งล่าสุดที่บอก“จะเดิมพันทั้งชีวิต”ว่าจะเป็นวาจาผีสาง (อีกครั้ง) หรือไม่ ?
เขาบอกว่าจะชุมนุมหลังตรุษจีนซึ่งหมายถึงจะเป็นช่วงหลังวันที่ 14 กุมภาพันธ์ โดยอ้างว่าไม่เกี่ยวกับวันนัดหมายพิพากษา 7.6 หมื่นล้านที่กำหนดในวันที่ 26 กุมภาพันธ์
ในทางการเมืองแล้วการชุมนุมใหญ่ก่อนวันพิพากษาก็คือการขับเคลื่อนมวลชนกดดัน หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้กำหนดนัดพิพากษาเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจจะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐมีผลให้กระบวนการของคดีความต่างๆ ยุติลง
คอลัมน์นี้ขอพิพากษาว่าคำอ้างที่ว่าการชุมนุมไม่เกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ฟังไม่ขึ้น (ฮา)
สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไปคือประโยคทองที่บอกว่า
1.เดิมพันทั้งชีวิต
2.ไม่มีการชุมนุมใหญ่เป็นครั้งที่สองอีก
3.หากแพ้มีสองทางคือถูกหามกับเข้าคุกเท่านั้น
พิจารณาจากคำกล่าวเท็จใหญ่น้อยที่นายคนนี้กล่าวกับสังคมทุบโต๊ะบอกได้เลยว่า “ไม่จริงตามอวดอ้าง” เพราะการชุมนุมใหญ่หมายถึงการรวบรวมประชาชนคนเสื้อแดงทั้งหลายมาอยู่รวมกันทำกิจกรรมเรียกร้อง-ต่อสู้ทางการเมือง คนร้อยพ่อพันแม่ถ้าไม่มีเงื่อนไขถึงพร้อม มีการปูพื้นอารมณ์ร่วมที่ดีพอเป็นไปได้ยากมากที่คนเรือนหมื่นจะพร้อมใจกันเดิมพันทั้งชีวิต ถึงขนาดว่าถ้าไม่ชนะก็ต้องถูกหามจากสนามรบหรือพร้อมเข้าคุก
สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดของการแถลงของจตุพร พรหมพันธุ์รอบนี้ก็คือ แกนนำคนเสื้อแดงรับรู้ว่ามีกำหนดนัดพิพากษา 26 กุมภาพันธ์ ในฐานะที่รับผิดชอบงานมวลชนนอกสภาเพื่อโค่นอำนาจรัฐปัจจุบันจะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้เกิดผลสะเทือนต่ออำนาจรัฐ และถ้าเป็นไปได้หากมีผลเชื่อมโยงทำให้การนัดหมายพิพากษาเป็นคุณกับทักษิณย่อมต้องดำเนินการในช่วงเวลานั้น
26 กุมภาพันธ์จึงเป็นหมุดหมายศูนย์กลางการเคลื่อนไหวมวลชนแดงในรอบนี้
นี่เป็นไฟต์บังคับเพราะที่ผ่านมาก็เงื้อง่าราคาแพงมาหลายรอบแล้ว แยกเขี้ยวคำรามแฮ่ๆ มาตั้งแต่ปลายพฤศจิกายนโน่นแต่ยิ่งอยู่ไปยิ่งเหี่ยวลงเพราะยุทธศาสตร์ของทักษิณไม่ได้พึ่งม็อบแดงด้านเดียว
ไป ๆ มา ๆ เกมในสภาซึ่งหมายรวมถึงการต่อรองกับพรรคร่วมและขั้วอำนาจต่าง ๆ เริ่มมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรัฐบาลมีข่าวทุจริต มีข่าวการต่อรองแก้รัฐธรรมนูญ ฯลฯ น้ำหนักของยุทธศาสตร์สภาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นยุทธศาสตร์หลัก ดังนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงละเอียดอ่อนมาก เริ่มจากการเฟ้นหาและต่อรองชื่อผู้จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปมาประกบ การต่อสายต่อรองกับพรรคร่วม และการทำการบ้านขุดหาเรื่องทุจริต
ในเมื่อแนวโน้มเกมบนท้องถนนเป็นยุทธการรอง บรรดาแกนนำหัวขวด แกนนำสู้แล้วรวยทั้งหลายก็ต้องครุ่นคิดหนัก
งานนี้จึงเป็นไฟต์บังคับที่ต้องดำเนินการอะไรสักอย่างขึ้นมา เพื่อให้เป็นประโยชน์กับนายใหญ่
หน้าที่ของแกนนำคือต้องจัดเตรียมไพร่พลให้พร้อมรบ ไม่ว่าจะให้รบในทิศทางไหน
จะเป็นแบบรุนแรงแตกหัก ถูกหามออกจากสนามหรือเข้าคุก
หรือจะเป็นแค่แบบแดงประจำเดือนมาแล้วกลับ แค่เกณฑ์คนมาฟังปราศรัยเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา
ปัญหาอยู่ตรงนี้เอง !!!
ไอ้แบบหลังนี่ไม่ยากหรอกเพราะทำมาบ่อยแค่เกณฑ์คนมาแล้วกลับ ไอ้ที่ยากคือแบบแรกต่างหากเพราะต้องอาศัยปัจจัยแวดล้อมและเงื่อนไขอีกหลายอย่างเพื่อการถึงพร้อม หากจะให้เป็นเช่นนั้นจริงเราจะได้เห็นการเคลื่อนไหวเพื่อการถึงพร้อมนับแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์เป็นอย่างช้า
ซึ่งไม่ง่ายเลยหากว่าคนทำเป็นแค่นักเคลื่อนไหวหาเลี้ยงชีพ
แปะข้างฝาไว้เถิดครับ อีกไม่กี่วันเองกระดาษยังไม่ทันเปื่อยก็พิสูจน์ได้แล้ว
หลังตรุษจีนก็ได้รู้กันเองว่าปากของนายจตุพรนั้น..เป็นปากคน หรือว่าปากอะไร?