**ห้ามกะพริบตาเด็ดขาดสำหรับสถานการณ์ตึงเครียด “ไทยVSกัมพูชา” เวลานี้
วันนี้ อังคารที่ 10 พ.ย.52 คาดได้ว่าสถานการณ์เรื่องนี้จะเขม็งเกลียวมากขึ้น เหตุเพระ*กษิต ภิรมย์ *รมว.ต่างประเทศจะชงเรื่อง
การยกเลิก"บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา" หรือ Memorandum of Understanding (MOU) หลายฉบับที่ทำขึ้นสมัยรัฐบาลทักษิณ
ที่ทำให้กัมพูชาได้รับประโยชน์ต่างๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะเอ็มโอยูในส่วนว่าด้วยเรื่องพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนในอ่าวไทย ซึ่งกินพื้นที่กว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร อันเป็นพื้นที่ซึ่งแวดล้อมไปด้วยก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรอื่นๆ ที่มีผลประโยชน์หลายแสนล้านยูเอสดอลลาร์ **เข้าสู่ความเห็นชอบในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
จากนั้น ช่วงค่ำวันเดียวกัน เวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ *นช.ทักษิณ ชินวัตร* ก็จะใช้วิทยุอินเตอร์เน็ต ที่ถ่ายทอดผ่านเครือข่ายวิทยุชุมชน และทีวีคนเสื้อแดงทั่วประเทศ เปิดปากเรื่องที่เข้ารับตำแหน่ง “ที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้รัฐบาลกัมพูชา” รวมถึงความคิดเห็นต่อการตอบโต้ของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ ที่มีการเรียกทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศ
** นช.ทักษิณประกาศจุดยืนว่า จะเอาอย่างไรกับเรื่องนี้
สองเรื่องสองประเด็นนี้ หากเป็นไปตามคาดคือ ครม.เห็นชอบการยกเลิกเอ็มโอยู ทักษิณ แสดงตัวตนให้เห็นว่า เป็นคนสัญชาติไทย แต่ใจเขมร ด้วยการยืนเคียงข้างฮุนเซน บ่อนทำลายความมั่นคงของไทย
ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ได้เลยว่า สถานการณ์หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร ประเมินได้ว่า ฮุน เซน ต้องยิ่งแสดงท่าทีอันแข็งกร้าว และท้าทายรัฐบาลไทย ส่วนฝ่ายคนไทยก็จะยิ่งไม่พอใจทั้งตัวทักษิณและฮุนเซน หนักขึ้นไปอีก
หยั่งสถานการณ์ทั้งสองด้านแล้ว มั่นใจได้สูงยิ่งว่า หากเป็นไปตามนี้ มันก็จะทำให้สัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่แสนเปราะบางพร้อมที่จะปริแตกในทุกด้าน ไม่ใช่แค่สัมพันธ์ทางการทูตและสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมจะเพิ่มปัญหาหนักมากขึ้น
**เนื่องเพราะอารมณ์ในเรื่อง “ความรักชาติ” จะยิ่งพุ่งร้อนแรงมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม บนข้อสันนิษฐานก่อนหน้าที่ว่า ทักษิณจะถอนตัวจากตำแหน่งที่ปรึกษาฯ ดังกล่าว ไม่น่าจะเป็นความจริงแล้ว เพราะเมื่อทักษิณ คนหนักแผ่นดินประกาศชัดกลางทุ่งศรีเมือง อุดรธานี ต่อหน้าคนเสื้อแดงหลายหมื่นคน เมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า
12 พ.ย.นี้ จะไปเหยียบกัมพูชาตามเทียบเชิญฮุนเซน ที่ให้ไปบรรยายเรื่องเศรษฐกิจให้กับคนในรัฐบาลฮุนเซนและนักธุรกิจในกัมพูชาได้ยินได้ฟังวิสัยทัศน์ของ
** “ที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลังรัฐบาลกัมพูชา” หน้าไทย ใจเขมร นามทักษิณ ชินวัตร
การเดินทางมากัมพูชาของทักษิณ โดยข้อเท็จจริงแล้ว ก็อย่างที่รู้ๆกันดีว่า ตั้งแต่หลัง19 กันยายน 49 ทักษิณก็เข้าออกกัมพูชา เป็นว่าเล่น แถมมีทั้งบ้านพัก ธุรกิจ อยู่ในกัมพูชามากมาย
ยิ่งช่วงหลังตั้งแต่กลายเป็นคนหนีคดี ทักษิณก็ใช้ กัมพูชาเป็นแหล่งกบดานรวมถึงเป็นสถานที่คอยวางแผนบัญชาการทางการเมืองทุกรูปแบบ ทั้งบนดินและใต้ดินให้กับพรรคเพื่อไทยและเสื้อแดง
แม้ไทยกับกัมพูชาจะมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกันก็ตาม แต่ก็เพราะอิทธิพลของฮุน เซนและทักษิณในกัมพูชา ทักษิณจึงเดินทางเข้าออกกัมพูชาเป็นว่าเล่นโดยไม่ต้องพะวงว่าจะถูกตะครุบตัวส่งกลับไทย
การที่ทักษิณประกาศจะเข้าไปกัมพูชา จึงไม่ใช่การเดินทางเข้ากัมพูชาครั้งแรก เพราะทักษิณเข้าออกหลายสิบครั้งแล้วในรอบไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
แต่มันหมายถึงความต้องการของทักษิณ-ฮุนเซน ที่ต้องการตบหน้ารัฐบาลไทยและกระบวนการยุติธรรมไทยได้รู้ว่า
**“ข้ามาแล้วโว้ย พวกเอ็งจะทำอะไรได้ แน่จริงก็มาจับสิว่ะ” !
และนี่เป็นการส่งสัญญาณการเมืองครั้งสำคัญของทักษิณ ที่เตือนให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับรู้ว่า
**ทักษิณ ไม่เห็นอภิสิทธิ์และรัฐบาลไทยอยู่ในสายตาเลย ถึงกล้าท้าทายอำนาจรัฐเช่นนี้
และเสร็จจากวันที่ 12 พ.ย.แล้ว สิ่งที่ทักษิณจะทำก็คือ “กดปุ่ม” รบเต็มรูปแบบ ผ่าน “คนเสื้อแดง” เพื่อเป้าหมายโค่นล้มรัฐบาลและกดดันให้มีการยุบสภา ภายในเดือน พ.ย.-ธ.ค. ก่อนที่ศาลฏีกาจะอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ในเดือนหน้านี้ โดยระหว่างนี้ทักษิณ ก็เตรียมการพร้อมรบไปพลางๆก่อน ภายใต้แผนล้มรัฐบาลผ่านการเมืองระหว่างประเทศและภายในประเทศ
อันเห็นได้จากการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงที่อุดรธานี เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมาที่อุดรธานี ซึ่งแกนนำเสื้อแดงหลายคนประกาศชัดบนเวทีว่า
**สงครามเสื้อแดงครั้งนี้ เดิมพันสูงยิ่ง ต้องล้มรัฐบาลให้ได้
ในการเตรียมทำสงครามโค่นล้ม อภิสิทธิ์ของทักษิณ เมื่อมองไปที่ตัว“อภิสิทธิ์”สำหรับการเตรียมพร้อม ในการรับมือทั้งกับฮุนเซน–ทักษิณ-เสื้อแดง ที่ดาหน้าบดขยี้ทุกรูปแบบ กลับพบว่าดูเหมือนอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ จะไม่มี “กองหนุน” อย่างที่ควรจะเป็น
**โดยเฉพาะสองกำลังหลัก “กองทัพ-พรรคร่วมรัฐบาล”
ที่จะต้องยืนหยัดเคียงข้างอภิสิทธิ์ ในการปกป้องศักดิ์ศรี และเกียรติภูมิของกระบวนการยุติธรรมไทย แต่กองทัพและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลบางคน กลับแสดงท่าทีอิดออดโดยไม่มีเหตุผล
เช่น “ชาติไทยพัฒนา” ของ*บรรหาร ศิลปอาชา* รวมถึง“ภูมิใจไทย” ของ*เนวิน ชิดชอบ* แทนที่จะร่วมเป็นกำลังใจหนุนหลังอภิสิทธิ์ กลับ“ใส่เกียร์ถอย”โดยอ้างว่าหวั่นกระทบเรื่องการค้าตามแนวชายแดนบ้าง เรื่องสัมพันธ์ระหว่างประเทศบ้าง
แบบนี้ต้องคอยดูว่าในที่ประชุมครม.วันอังคารนี้ จะมีรมต.พรรคร่วมรัฐบาลคนไหน ขัดขวางหรือโหวตสวน การเลิกเอ็มโอยู ที่จะทำให้กัมพูชาได้เปรียบ เพราะทั้งหมดเซ็นในสมัยทักษิณเป็นนายกฯ จึงรู้ขั้นตอนกลไกและความลับต่างๆ จึงทำให้กัมพูชาย่อมใช้ทักษิณให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายตัวเองได้
ต้องจับตา หากรมต.จากพรรคร่วมรัฐบาลคนไหนคัดค้านเรื่องนี้แบบไม่มีเหตุผลเพียงพอ สังคมก็ต้องทวงถามเหตุผลจากรมต.คนดังกล่าวออกมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นต้องสงสัยไว้ก่อนว่า
**คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า?
ส่วน “กองทัพ”เอง ก็พบว่า ผู้นำเหล่าทัพหลายคน กลับไม่ออกมาแสดงท่าทียืนข้างอภิสิทธิ์ และบางคนที่ออกมาก็พูดแบบไม่เต็มเสียง ไม่แสดงความฮึกเหิม และความมั่นใจให้กับคนไทยได้เห็นว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทหารหาญจะปกป้องผืนแผ่นดินไทยจนสิ้นชีพ
**“กองทัพ-พรรคร่วมรัฐบาล” จึงต้องแสดงท่าทีและจุดยืนให้ชัดเพื่อให้อภิสิทธิ์และคนไทยได้รับรู้โดยถ้วนกัน ว่าทั้งหมดมีจุดยืนอย่างไร อย่าได้ถอยฉากหรือหลบหน้าเป็นอันขาด
อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้หมายถึงว่า ต้องการให้มีการเปิดฉากสู้รบหรือทำสงครามระหว่างประเทศกัน เพียงแต่เห็นว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่า ฮุน เซนและทักษิณกระทำการที่มากเกินไปแล้ว
**และทางเดียวที่ต้องทำคือการตอบโต้ฮุน เซน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟันเท่านั้น เพื่อรักษาศักดิ์ศรีคนไทย
วันนี้ อังคารที่ 10 พ.ย.52 คาดได้ว่าสถานการณ์เรื่องนี้จะเขม็งเกลียวมากขึ้น เหตุเพระ*กษิต ภิรมย์ *รมว.ต่างประเทศจะชงเรื่อง
การยกเลิก"บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา" หรือ Memorandum of Understanding (MOU) หลายฉบับที่ทำขึ้นสมัยรัฐบาลทักษิณ
ที่ทำให้กัมพูชาได้รับประโยชน์ต่างๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะเอ็มโอยูในส่วนว่าด้วยเรื่องพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนในอ่าวไทย ซึ่งกินพื้นที่กว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร อันเป็นพื้นที่ซึ่งแวดล้อมไปด้วยก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรอื่นๆ ที่มีผลประโยชน์หลายแสนล้านยูเอสดอลลาร์ **เข้าสู่ความเห็นชอบในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
จากนั้น ช่วงค่ำวันเดียวกัน เวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ *นช.ทักษิณ ชินวัตร* ก็จะใช้วิทยุอินเตอร์เน็ต ที่ถ่ายทอดผ่านเครือข่ายวิทยุชุมชน และทีวีคนเสื้อแดงทั่วประเทศ เปิดปากเรื่องที่เข้ารับตำแหน่ง “ที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้รัฐบาลกัมพูชา” รวมถึงความคิดเห็นต่อการตอบโต้ของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ ที่มีการเรียกทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศ
** นช.ทักษิณประกาศจุดยืนว่า จะเอาอย่างไรกับเรื่องนี้
สองเรื่องสองประเด็นนี้ หากเป็นไปตามคาดคือ ครม.เห็นชอบการยกเลิกเอ็มโอยู ทักษิณ แสดงตัวตนให้เห็นว่า เป็นคนสัญชาติไทย แต่ใจเขมร ด้วยการยืนเคียงข้างฮุนเซน บ่อนทำลายความมั่นคงของไทย
ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ได้เลยว่า สถานการณ์หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร ประเมินได้ว่า ฮุน เซน ต้องยิ่งแสดงท่าทีอันแข็งกร้าว และท้าทายรัฐบาลไทย ส่วนฝ่ายคนไทยก็จะยิ่งไม่พอใจทั้งตัวทักษิณและฮุนเซน หนักขึ้นไปอีก
หยั่งสถานการณ์ทั้งสองด้านแล้ว มั่นใจได้สูงยิ่งว่า หากเป็นไปตามนี้ มันก็จะทำให้สัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่แสนเปราะบางพร้อมที่จะปริแตกในทุกด้าน ไม่ใช่แค่สัมพันธ์ทางการทูตและสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมจะเพิ่มปัญหาหนักมากขึ้น
**เนื่องเพราะอารมณ์ในเรื่อง “ความรักชาติ” จะยิ่งพุ่งร้อนแรงมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม บนข้อสันนิษฐานก่อนหน้าที่ว่า ทักษิณจะถอนตัวจากตำแหน่งที่ปรึกษาฯ ดังกล่าว ไม่น่าจะเป็นความจริงแล้ว เพราะเมื่อทักษิณ คนหนักแผ่นดินประกาศชัดกลางทุ่งศรีเมือง อุดรธานี ต่อหน้าคนเสื้อแดงหลายหมื่นคน เมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า
12 พ.ย.นี้ จะไปเหยียบกัมพูชาตามเทียบเชิญฮุนเซน ที่ให้ไปบรรยายเรื่องเศรษฐกิจให้กับคนในรัฐบาลฮุนเซนและนักธุรกิจในกัมพูชาได้ยินได้ฟังวิสัยทัศน์ของ
** “ที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลังรัฐบาลกัมพูชา” หน้าไทย ใจเขมร นามทักษิณ ชินวัตร
การเดินทางมากัมพูชาของทักษิณ โดยข้อเท็จจริงแล้ว ก็อย่างที่รู้ๆกันดีว่า ตั้งแต่หลัง19 กันยายน 49 ทักษิณก็เข้าออกกัมพูชา เป็นว่าเล่น แถมมีทั้งบ้านพัก ธุรกิจ อยู่ในกัมพูชามากมาย
ยิ่งช่วงหลังตั้งแต่กลายเป็นคนหนีคดี ทักษิณก็ใช้ กัมพูชาเป็นแหล่งกบดานรวมถึงเป็นสถานที่คอยวางแผนบัญชาการทางการเมืองทุกรูปแบบ ทั้งบนดินและใต้ดินให้กับพรรคเพื่อไทยและเสื้อแดง
แม้ไทยกับกัมพูชาจะมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกันก็ตาม แต่ก็เพราะอิทธิพลของฮุน เซนและทักษิณในกัมพูชา ทักษิณจึงเดินทางเข้าออกกัมพูชาเป็นว่าเล่นโดยไม่ต้องพะวงว่าจะถูกตะครุบตัวส่งกลับไทย
การที่ทักษิณประกาศจะเข้าไปกัมพูชา จึงไม่ใช่การเดินทางเข้ากัมพูชาครั้งแรก เพราะทักษิณเข้าออกหลายสิบครั้งแล้วในรอบไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
แต่มันหมายถึงความต้องการของทักษิณ-ฮุนเซน ที่ต้องการตบหน้ารัฐบาลไทยและกระบวนการยุติธรรมไทยได้รู้ว่า
**“ข้ามาแล้วโว้ย พวกเอ็งจะทำอะไรได้ แน่จริงก็มาจับสิว่ะ” !
และนี่เป็นการส่งสัญญาณการเมืองครั้งสำคัญของทักษิณ ที่เตือนให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับรู้ว่า
**ทักษิณ ไม่เห็นอภิสิทธิ์และรัฐบาลไทยอยู่ในสายตาเลย ถึงกล้าท้าทายอำนาจรัฐเช่นนี้
และเสร็จจากวันที่ 12 พ.ย.แล้ว สิ่งที่ทักษิณจะทำก็คือ “กดปุ่ม” รบเต็มรูปแบบ ผ่าน “คนเสื้อแดง” เพื่อเป้าหมายโค่นล้มรัฐบาลและกดดันให้มีการยุบสภา ภายในเดือน พ.ย.-ธ.ค. ก่อนที่ศาลฏีกาจะอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ในเดือนหน้านี้ โดยระหว่างนี้ทักษิณ ก็เตรียมการพร้อมรบไปพลางๆก่อน ภายใต้แผนล้มรัฐบาลผ่านการเมืองระหว่างประเทศและภายในประเทศ
อันเห็นได้จากการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงที่อุดรธานี เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมาที่อุดรธานี ซึ่งแกนนำเสื้อแดงหลายคนประกาศชัดบนเวทีว่า
**สงครามเสื้อแดงครั้งนี้ เดิมพันสูงยิ่ง ต้องล้มรัฐบาลให้ได้
ในการเตรียมทำสงครามโค่นล้ม อภิสิทธิ์ของทักษิณ เมื่อมองไปที่ตัว“อภิสิทธิ์”สำหรับการเตรียมพร้อม ในการรับมือทั้งกับฮุนเซน–ทักษิณ-เสื้อแดง ที่ดาหน้าบดขยี้ทุกรูปแบบ กลับพบว่าดูเหมือนอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ จะไม่มี “กองหนุน” อย่างที่ควรจะเป็น
**โดยเฉพาะสองกำลังหลัก “กองทัพ-พรรคร่วมรัฐบาล”
ที่จะต้องยืนหยัดเคียงข้างอภิสิทธิ์ ในการปกป้องศักดิ์ศรี และเกียรติภูมิของกระบวนการยุติธรรมไทย แต่กองทัพและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลบางคน กลับแสดงท่าทีอิดออดโดยไม่มีเหตุผล
เช่น “ชาติไทยพัฒนา” ของ*บรรหาร ศิลปอาชา* รวมถึง“ภูมิใจไทย” ของ*เนวิน ชิดชอบ* แทนที่จะร่วมเป็นกำลังใจหนุนหลังอภิสิทธิ์ กลับ“ใส่เกียร์ถอย”โดยอ้างว่าหวั่นกระทบเรื่องการค้าตามแนวชายแดนบ้าง เรื่องสัมพันธ์ระหว่างประเทศบ้าง
แบบนี้ต้องคอยดูว่าในที่ประชุมครม.วันอังคารนี้ จะมีรมต.พรรคร่วมรัฐบาลคนไหน ขัดขวางหรือโหวตสวน การเลิกเอ็มโอยู ที่จะทำให้กัมพูชาได้เปรียบ เพราะทั้งหมดเซ็นในสมัยทักษิณเป็นนายกฯ จึงรู้ขั้นตอนกลไกและความลับต่างๆ จึงทำให้กัมพูชาย่อมใช้ทักษิณให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายตัวเองได้
ต้องจับตา หากรมต.จากพรรคร่วมรัฐบาลคนไหนคัดค้านเรื่องนี้แบบไม่มีเหตุผลเพียงพอ สังคมก็ต้องทวงถามเหตุผลจากรมต.คนดังกล่าวออกมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นต้องสงสัยไว้ก่อนว่า
**คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า?
ส่วน “กองทัพ”เอง ก็พบว่า ผู้นำเหล่าทัพหลายคน กลับไม่ออกมาแสดงท่าทียืนข้างอภิสิทธิ์ และบางคนที่ออกมาก็พูดแบบไม่เต็มเสียง ไม่แสดงความฮึกเหิม และความมั่นใจให้กับคนไทยได้เห็นว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทหารหาญจะปกป้องผืนแผ่นดินไทยจนสิ้นชีพ
**“กองทัพ-พรรคร่วมรัฐบาล” จึงต้องแสดงท่าทีและจุดยืนให้ชัดเพื่อให้อภิสิทธิ์และคนไทยได้รับรู้โดยถ้วนกัน ว่าทั้งหมดมีจุดยืนอย่างไร อย่าได้ถอยฉากหรือหลบหน้าเป็นอันขาด
อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้หมายถึงว่า ต้องการให้มีการเปิดฉากสู้รบหรือทำสงครามระหว่างประเทศกัน เพียงแต่เห็นว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่า ฮุน เซนและทักษิณกระทำการที่มากเกินไปแล้ว
**และทางเดียวที่ต้องทำคือการตอบโต้ฮุน เซน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟันเท่านั้น เพื่อรักษาศักดิ์ศรีคนไทย