ผมรู้จักสาวมือตบเสื้อฟ้าที่เพิ่งบุกเดี่ยวแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของเธอบนวัดพระธาตุดอยสุเทพระหว่าง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการบูรณะ
ขอเรียกเธอว่า “พี่เบญ” ซึ่งแท้จริงคงไม่ต้องปกปิดอะไรมาก เนื่องจากตำรวจภูธรเชียงใหม่ นำตัวเธอไปสอบปากคำและลงบันทึกประจำวัน ณ สถานีตำรวจภูธรภูพิงค์ไว้เรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้ต้องว่ากันยาวเพราะแท้จริงตำรวจไม่มีสิทธิ์ใด ๆ นำตัวเธอไปดำเนินการแบบนี้สอบถามย้ำว่าเป็นพันธมิตรเชียงใหม่หรือเปล่า ? รวมไปถึงให้ลงนามว่าจะไม่ “ก่อเหตุวุ่นวาย” ลักษณะนี้อีก
น่าเห็นใจ.. เพราะหลังจากเกิดเหตุ เธอขับรถลงจากดอยโดยมีตำรวจประกบ..รายงานการเคลื่อนไหวเป็นระยะ จนถึงตีนดอยซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีตำรวจภูพิงค์ ..คงจะตั้งหลักไม่ทัน จึงถูกสถานการณ์และสภาพแวดล้อมบังคับให้ความร่วมมือกับตำรวจ “เกินพอดี” ด้วยการยอมรับถ้อยคำที่ตำรวจเตรียมเอาไว้ ก่อนจะปล่อยกลับบ้าน
ผมไม่เห็นว่า การยกมือตบพลาสติกขึ้นมาอันหนึ่ง แล้วยกขึ้นตบ 1-2 แปะ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงเจตนาปฏิเสธรัฐบาลที่กำลังปกครองมันผิดกฎหมายตรงไหน อยากจะถามไปยังตำรวจเชียงใหม่นับจากผู้การลงมา ... แบบนี้มันผิดกฎหมายข้อไหนครับ !?
นอกจากไม่ผิดกฎหมายแล้ว การแสดงเจตนาทางการเมืองปฏิเสธรัฐบาล(ซึ่งก็คือลูกจ้างของเรา)ด้วยวิธีสันติ ถือเป็นแบบแผนหนึ่งของประชาธิปไตยอารยะทั่วโลก นี่คือสิทธิ์พื้นฐานที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้
ทันทีที่ผมเห็นสาวเสื้อฟ้าในข่าวเที่ยงทีวี. ผมก็จำได้ทันที และก็แปลกใจเล็ก ๆ ถึงการบุกเดี่ยวรอบนี้ เนื่องจากทราบว่ามีกลุ่มพันธมิตรกลุ่มหนึ่งนัดหมายกันอีกจุดหนึ่งในเมือง
ซึ่งก็เป็นที่รับรู้แล้วว่าพันธมิตรกลุ่มนี้ไปดักรอนายกฯ สมชาย ที่ร้านอาหารจีนเจี่ยท้งเฮง และได้ร่วมกันนำเสนอมือตบแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของตนเมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. ไปแล้วเช่นกัน
พันธมิตรเชียงใหม่ไม่มีแผนใหญ่โตหรือแม้แต่มีกำหนดสั่งการจากแกนนำอะไรล่วงหน้าเพื่อต้อนรับการมาของนายกฯสมชาย ขอยืนยันว่านี่เป็นการนัดหมายกันของกลุ่มเล็ก ๆ ที่อาจจะเรียกว่าเป็นเซลล์อิสระ ซึ่งแต่ละคน-แต่ละกลุ่มย่อยต่างก็มีอิสระที่จะคิด ทำ ในสิ่งที่ตัวเองเชื่อและเห็นว่าถูกต้อง
กรณีของพี่เบญนั้น ผมก็เพิ่งรู้ เช่นเดียวกับสามีของพี่เบญ ที่เพิ่งทราบจากข่าวทีวี.เช่นกัน !!
“พี่เบญ” เป็นชนชั้นกลางที่ดำเนินชีวิตเรียบง่าย มีความรู้ มีการงานมั่นคง เธอติดตามข่าวคราวบ้านเมืองมาโดยตลอดสำหรับเอเอสทีวี.นั้นตามดูจากอินเตอร์เน็ต แต่เพิ่งจะมาติดตั้งจานที่บ้านเมื่อประมาณเดือนกว่า ๆ นี้เอง อย่างไรก็ตามด้วยภาระการงานเธอคลาดจากเวทีชุมนุม-ประชุมของพันธมิตรเชียงใหม่ ทั้ง 2 ครั้งที่เคยจัดแต่ก็ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ
ก็เหมือน ๆ กับชนชั้นกลางผู้เสียภาษีในเมืองทั่วไปที่อยากจะเห็นบ้านเมืองดี อยากเห็นกลไกของรัฐซึ่งก็เป็นลูกจ้างของเราทำงานอย่างตรงไปตรงมา อยากเห็นระบบที่โปร่งใสมีธรรมาภิบาลเกิดขึ้น และที่สำคัญคนกลุ่มนี้เข้าใจกฎหมายและสิทธิพื้นฐานของตนในระดับสำคัญ หากมีเรื่องไม่ชอบมาพากลก็พร้อมจะแสดงออก
ผมอยากจะสื่อถึงตำรวจเชียงใหม่ ซึ่งพอจะทราบว่ามีนายตำรวจคนหนึ่งจากเชียงใหม่เข้าไปร่วมทีมเฉพาะกิจเพื่อเตรียมแผนจัดการกับพันธมิตรในช่วงรอยต่อรัฐบาลใหม่ว่ากรุณาอย่าเอาใจนายจนเกินงาม
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ยืนยันกับสาธารณะว่า จะยึดกฎหมายเป็นหลัก พวกท่านก็ควรจะยึดกรอบกฎหมายเป็นสำคัญ
ที่ต้องพูดก่อนเพราะทราบว่า เมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. หลังจาก “พี่เบญ” เข้าที่พัก ได้มีการจัดส่งตำรวจในพื้นที่เข้ามาสังเกตการณ์หน้าบ้าน อาจจะเป็นการประสานมาจาก สภ.ภูพิงค์ หรือเจ้านายคนอื่น ๆ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของที่อยู่
หากทำตามหน้าที่ก็ทำไป แต่หากมีอะไรมากกว่านั้นอย่าได้คิดทำเลย ขอเตือนว่า สังคมไทยวันนี้ก้าวหน้าไปไกลเกินกว่าที่จะมีใครคิดทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ เพื่อเอาใจเจ้านายหญิงซาลาเปาได้ง่าย ๆ อีกต่อไป
เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเอาตำรวจมาป้วนเปี้ยนหน้าบ้าน มันไม่เหมาะหรอกครับ โดยเฉพาะกับบ้านของผู้หญิงคนหนึ่ง !
อยากจะบอกกับผู้เกี่ยวข้องว่ามีคนอย่าง “พี่เบญ” อีกนับพันในเชียงใหม่ที่พร้อมจะออกจากบ้านมาแสดงออก
และยังมีอีกหลายล้าน ๆ คนทั่วประเทศที่ไม่ต้องการการเมืองแบบเก่า-สังคมไทยที่เน่าเฟะแบบเดิม ๆ ซึ่งเวลานี้คนไทยเหล่านี้ก็เป็นพลังสำคัญของการกดดันทางสังคมเพื่อให้มีการปฏิรูปการเมืองครั้งสำคัญในรอบ 76 ปี
นายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ หากเข้าใจประชาธิปไตยเพียงพอ ควรจะเข้าใจ “ปรากฏการณ์พี่เบญ” และน่าจะมองให้ลึกลงไปว่ารัฐบาลนี้อยู่ระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านในกระบวนการยกระดับ “กระบวนทัศน์” ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองไทยครั้งใหญ่
รัฐบาลนี้ควรสลัดข้อเสนอแอบแฝงใด ๆ เพื่อการสร้างภาพ หรือมุ่งใช้กลยุทธ์ทางการเมืองเพื่ออิงกระแสปฏิรูปในการรักษาอำนาจต่อ เช่น เสนอแนวทาง ส.ส.ร.3 แล้วใช้พลังทางการเมืองในพื้นที่กำหนดตัวผู้ได้รับการคัดเลือก และใช้รัฐสภากำหนดบุคคลที่สั่งได้ในรอบสุดท้าย
ซึ่งก็จะเกิด “ส.ส.ร.ทาส” แทนที่จะเป็น “ส.ส.ร.3” ตามเจตนาที่แท้จริง
บทเรียนมีอยู่ ! เมื่อปี 2538-39 นักการเมืองคงยังตั้งตัวไม่ทันตอนที่มีการเลือก ส.ส.ร.1 เช่นเดียวกับที่เคยตั้งตัวไม่ทันกับการตั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญปี 40 ... แต่พอตั้งตัวได้ก็ได้ใช้กลยุทธ์ทางการเมืองเข้าไปแทรกแซง
ส.ส.ร.3 ก็จะเดินตามรอยการแทรกแซงตุลาการและองค์กรอิสระที่เคยเกิด
หากคิด หรือวางแผนที่จะทำตามแผนนี้ ..เรื่องก็จะยังไม่จบ
นายกสมชาย รวมถึงเจ๊แดง น่าจะมองเหตุการณ์มือตบที่เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาให้ลึกไปกว่าพันธมิตรจัดตั้งให้ไปป่วน แต่น่าจะมองให้เข้าใจถ่องแท้ว่าสังคมไทยวันนี้ก้าวหน้าไปไกลเกินกว่ากลไกและวัฒนธรรมทางการเมืองแบบเดิม ๆ จะรั้งไว้ได้แล้ว
มีแต่ต้องปฏิรูปสังคมใหม่โดยปราศจากแรงเหนี่ยวทานจากนักการเมืองเท่านั้น !!!
นั่นก็เพราะนักการเมืองเป็นต้นตอปัญหา ทั้งยังจะมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกับการกำหนดกรอบกติกาของสังคมการเมืองใหม่
ถ้ามองว่าเป็น “มือตบเพื่อขับไล่” ท่านก็จะมองมุมหนึ่งซึ่งเป็นมุมที่มองไม่ต่างจากคนแวดล้อมของท่าน
แต่หากมองว่าเป็น “มือตบสร้างชาติ” ท่านจะมองเห็นในอีกมุมหนึ่งที่กว้างไกลไปถึงคนรุ่นลูกหลานของเรา !
.....................
อันที่จริงกำหนดจะเขียนเรื่องนโยบายของรัฐบาลสมชาย และเรื่องสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง แต่บังเอิญมีเรื่องพี่เบญเข้ามาแทรกเสียก่อน
จึงต้องรีบบันทึกไว้ และจะได้สื่อถึงใครก็ตามที่นึกอยากเอาใจนายจนเกินงาม อย่าได้คิดทำเลยนะครับ-ไม่เฉพาะผมหรอกที่ไม่ยอม..แต่ยังจะมีคนไทยอีกมากมายที่ไม่ยอมด้วยเช่นกัน !!