“ ศิลปะแห่งสงครามขั้นสูงสุดคือการพิชิตศัตรูโดยไม่ต้องต่อสู้”
- ซุนจื่อ ผู้แต่ง The Art of War
ก่อนหน้านี้ มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ ชื่อ Silent Invasion: China’s Influence in Australia (2018) โดยไคลฟ์ แฮมิลตัน ซึ่งเป็นปัญญาชนสาธารณะชาวออสเตรเลีย ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์อิทธิพลของจีนในชีวิตของชาวออสเตรเลีย แต่หนังสือของเขาเน้นอธิบายถึงวิธีที่รัฐบาลปักกิ่งและพรรคคอมมิวนิสต์พยายามอย่างเป็นระบบในการมีอิทธิพลต่อนโยบายและวิถีชีวิตทางวัฒนธรรมของออสเตรเลีย แฮมิลตันเรียกสิ่งนี้ว่า“ หัวใจของประชาธิปไตยออสเตรเลีย” เพื่อให้ชาวออสเตรเลียอาจเข้าใจแล้วว่าจีนพยายามทำอะไรในประเทศของตน
ล่าสุดมีหนังสืออีกเล่ม The New Art of War: China's Deep Strategy Inside the U.S โดยวิลเลียม เจ. โฮลสไตน์ นักข่าวอาวุโสในเอเชีย ของ United Press International กล่าวถึงสถานการณ์ในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลจีนกำลังดำเนินการตามกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกันและชาวอเมริกันส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ เพราะเป็นเรื่องของการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย การแฮ็กข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมาก บ่อนทำลายสถาบันรัฐฯ และพยายามกำหนดมุมมองและนโยบายของชาวอเมริกันต่อจีน
หนังสือกล่าวว่าแม้จะเผชิญกับสงครามการค้า ประธานาธิบดีทรัมป์กับจีน ดูเหมือนว่าชาวจีนจะเร่งความพยายามในการรุกเข้าไปในสถาบันของอเมริกาและหน่วยงานที่มีอิทธิพลทางความคิด สิ่งนี้ลึกซึ้งและเป็นระบบมากกว่าความพยายามของรัสเซียในการแบ่งขั้วอเมริกาผ่านการใช้โซเชียลมีเดีย
ความอ่อนไหวอย่างยิ่งของปัญหาเหล่านี้ ทำให้การถกเถียงเกี่ยวกับบทบาทของจีนในอเมริกามีความอ่อนไหวเป็นพิเศษเช่นกัน ด้วยมีชาวจีน - อเมริกันเกือบสี่ล้านคนตกเป็นเป้าหมายของปักกิ่ง ซึ่งเชื่อว่าพวกเขาควรจะจงรักภักดีต่อบรรพบุรุษไม่ใช่อเมริกา
ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนและชาวจีนบางส่วนในสหรัฐอเมริกาได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลจีน และชาวจีนจำนวนมากซึ่งมีประสบการณ์ทำงานในบริษัทอเมริกันหลายปี ได้กลับไปที่ประเทศจีนเพื่อช่วยเหลือคู่แข่งที่นั่น ชาวจีนเปรียบคนเหล่านี้ว่า เหมือนเต่าทะเลที่กลับมาที่ขึ้นฝั่งปีละครั้งเพื่อวางไข่ "ไห่กุย" หรือ "ผู้กลับมา"
ความท้าทายคือการวิเคราะห์และอภิปรายเกี่ยวกับการดำเนินการต่าง ๆ ของจีนซึ่งบางอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยไม่ก่อให้เกิดโรคเกลียดกลัวคนต่างชาติแบบที่วุฒิสมาชิกโจเซฟ แม็กคาร์ธี ปลุกกระแสในช่วง“ Red Scare” ของต้นทศวรรษ 1950 (การปะทุของโรคกลัวชาวต่างชาติที่คล้ายคลึงกันก่อนหน้านี้ในประวัติศาสตร์อเมริกัน จนนำไปสู่พระราชบัญญัติการกีดกันของจีนในปี 2425)
ประเด็นสำคัญประการหนึ่งคือ ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน คือการที่องค์กรพัฒนาเอกชนตะวันตกต่อสู้ประเด็นสิทธิสตรีและคนต่างเชื้อชาติในจีน และใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการบรรลุอำนาจทางการเมืองที่มากขึ้นสำหรับชนชั้นกลางที่กำลังเกิดใหม่ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งกระบวนการร่วมกันของแต่ละประเทศ ที่พยายามเรียนรู้และทั้งการล้ำเส้นกำหนดรูปแบบของอีกประเทศหนึ่ง
เพราะในความเป็นจริง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่ง เข้ารับอำนาจในปี 2555 กำลังบังคับให้องค์กรพัฒนาเอกชนต้องลงทะเบียนเพื่อทำงานร่วมกับตำรวจจีน (ซึ่งบังคับให้พวกเขาควบคุมเกือบสมบูรณ์) ปราบปรามผู้คัดค้านและทนายความผู้ต่อสู้คดีให้คนเหล่านั้น และเปลี่ยนอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบและปราบปราม
ชาติตะวันตกมองว่า สี จิ้นผิงกำลังพยายามกำจัดแนวคิดตะวันตกและตั้งตัวเป็นผู้ปกครองที่สมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นลัทธิเผด็จการจีนที่เลวร้ายที่สุดในช่วงต้นทศวรรษ 1980
หนังสือเล่มนี้ กล่าวว่า สีกำลังรวบรวมชาติด้วยการสร้าง “ความฝันของจีน” ในวาระของเขาซึ่งหมายถึงยุคก่อน ๆ ที่จีนเป็นมหาอำนาจของโลกที่ก้าวหน้า เด็ก ๆ ชาวจีนได้เรียนรู้เกี่ยวกับความอัปยศอดสู 100 ปีของประเทศจากน้ำมือของมหาอำนาจต่างชาติที่เข้ายึดครองดินแดนขนาดใหญ่เริ่มตั้งแต่ปี 1840 ชาวจีนถูกแบ่งแยกกันเองเนื่องจากราชวงศ์ล่มสลายอย่างช้า ๆและขาดความมั่งคั่งหรือเทคโนโลยีในรูปแบบ ของอาวุธเพื่อต่อต้านคนป่าเถื่อนต่างชาติ
ช่วงเวลาอัปยศนั้นสิ้นสุดลงเมื่อเหมาเจ๋อตุงและพรรคคอมมิวนิสต์ชนะในสงครามกลางเมืองของจีนในปี พ.ศ. 2492 จีนได้ "ลุกขึ้นยืน" เมื่อเทียบกับฉากหลังนั้นในวันนี้เราเห็นชาวจีนพยายามที่จะชำระอดีตและพลังของ "ความฝันจีน"
แนวทางปฏิบัติบางอย่างของรัฐบาลจีนในสหรัฐอเมริกาได้รับการพัฒนามาเป็นเวลา 10 ถึง 20 ปี ยกตัวอย่างเช่นในปี 1998 โจอี้ ชุน ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนซึ่งทำงานในสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ถูกจับกุมและสารภาพว่าป้อนความลับเกี่ยวกับเอฟบีไอกลับไปยังประเทศจีนเป็นเวลากว่าทศวรรษก่อนที่เขาจะถูกจับได้
สหรัฐฯ เชื่อว่าภายใต้สี จิ้นผิง การดำเนินการของรัฐบาลจีนได้ทวีความรุนแรงขึ้น เต็มรูปแบบทั้งเป็นระบบและเร่งด่วนมากขึ้น
หลีกเลี่ยงไม่ได้บางคนอาจรู้สึกว่า หนังสือเล่มนี้กำลังแสดงการเหยียดสีผิว กำลังต่อต้านจีน แต่ผู้เขียนกล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่ไม่ใช่ความจริง
วิลเลียม เจ. โฮลสไตน์ ผู้เขียนบอกว่า เขาอาศัยอยู่ในฮ่องกงและปักกิ่งและเดินทางไปทั่วประเทศจีน เรียนภาษาจีน ชอบประวัติศาสตร์อันลึกซึ้งและวัดวาอารามอันงดงามของจีน มีความเชื่อว่าชาวจีนมีภูมิปัญญาอันลึกซึ้งซึ่งสะท้อนให้เห็นในศาสตร์แขนงต่าง ๆ เขาชื่นชมศิลปะจีนและแจกันเครื่องเคลือบดินเผามานาน นานก่อนที่สิ่งเหล่านี้จะกลายได้รับความนิยมในความล้ำค่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่ต้องสงสัยกับวัฒนธรรมของประเทศจีน
โฮลสไตน์ กล่าวชื่นชมชาวจีนหลายคนที่ทุกวันนี้กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เรื่องราวส่วนตัวของพวกเขาเหล่านั้นที่รอดชีวิตจากการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นแรงบันดาลใจยิ่ง ยังรวมถึงความมุ่งมั่นของคนจีนที่จะหลุดพ้นจากความยากจนอย่างน่าประทับใจ
โฮลสไตน์ ย้อนเล่าว่าการเดินทางครั้งแรกในประเทศจีนนั้น เมืองต่าง ๆ จะมืดในเวลากลางคืนเพราะไม่มีไฟฟ้า เสียงเดียวที่ได้ยินในเมือง คือเสียงปั่นของจักรยานหลายพันคันที่แล่นผ่านถนนอันมืดมิด ซึ่งวันนี้จีนมาไกลจากวันนั้นมากแล้ว
แต่ยังมีหลายสิ่ง ที่เป็นเหมือนถนนมืดมิด ซึ่งทำให้หลายคนต่อต้านจีน เช่น ข้อกล่าวหาเรื่องค่ายกักกัน การปิดปากผู้ไม่เห็นด้วย อำนาจมืดของตำรวจและกองกำลังรักษาความปลอดภัย และการเฝ้าระวังการสื่อสารของชาวต่างชาติ รวมถึงอุปกรณ์ดักฟัง ในห้องนั่งเล่นของอพาร์ตเมนต์ในปักกิ่งของพวกเขา และแน่นอนว่าการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในเดือนมิถุนายน 1989
โฮลสไตน์ อ้างชาวต่างชาติที่ถูกสะกดรอย กล่าวว่าทุกเช้า "ผู้ดักฟัง" จะปั่นจักรยานเข้าไปที่ประตูด้านหลังของสถานทูต คอยตรวจสอบการสื่อสารทั้งหมด
อะไรคือความเป็นกลาง ระหว่างความดีและความเลวนั้นยากที่จะหาจุดสมดุล ชาวตะวันตกส่วนใหญ่ที่เติบโตมาในประเพณีของศาสนาคริสต์ในศาสนายิว - คริสเตียนที่ถูกและผิดแยกกันชัดเจน พบว่าเป็นเรื่องยาก ในมุมมองสีดำ - ขาวนี้ ชาวจีนเป็นมิตรหรือศัตรูของพวกเขา หรือสามารถเป็นได้ทั้งสองอย่าง อะไรคือการแยกแยะชื่นชมคนจีน แต่ต้องวิจารณ์รัฐบาลของพวกเขา
35 ปีหลังจากที่จีนเปิดสู่โลก กำลังได้รับการทดสอบโดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ชัดเจนว่าองค์กรข่าวของตะวันตกและโดยตัวแทนรัฐบาลตะวันตกและผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการ คาดการณ์ได้ว่าสีจิ้นผิงจะนำพาจีนไปในทิศทางที่แตกต่างจากที่โลกภายนอกคาดการณ์ไว้อย่างมาก
ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า ด้านหนึ่ง สี จิ้นผิงกำลังเข้าใกล้การปฏิรูปเศรษฐกิจแบบตะวันตกอย่างกว้างขวาง แต่ก็รักษาอัตลักษณ์จีน ซึ่งทำให้ทุกคนประหลาดใจด้วยการพยายามสร้างและฟื้นฟูพรรคคอมมิวนิสต์ 89 ล้านคน และสอดแทรกเข้าไปในทุกแง่มุมของชีวิตชาวจีน เขาควบคุมอินเทอร์เน็ตของจีนอย่างเข้มงวด
เขายังเร่งรณรงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีอเมริกัน ก็เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย Made in China 2025
หนังสือ The New Art of War: China's Deep Strategy Inside the U.S กล่าวว่ารัฐบาลจีนภายใต้การนำของกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ กำลังประสานงานการแฮ็กดิจิทัล และฝังสายลับในบริษัท ตลอดจนหน่วยงานรัฐในสหรัฐฯ อาทิ การจับกุมในเดือนตุลาคม 2018 ของเจ้าหน้าที่อาวุโส MSS ที่พยายามล้วงความลับจากแผนกเครื่องยนต์เจ็ทของ General Electric
ในขณะเดียวกัน จีนกำลังใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจในการรวบรวมเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ ผ่านการซื้อหน่วยงานของบริษัทเทคโนโลยีที่มีปัญหาหรือด้อยค่า ตลอดจนลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมสูงในซิลิคอนวัลเลย์ นี่หมายถึงว่า จีนไม่จำเป็นต้องขโมยเทคโนโลยีเสมอไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แบบเปิด ทำให้นักวิจัยชาวจีนสามารถค้นพบการค้นพบล่าสุดในสาขาต่าง ๆ เช่นปัญญาประดิษฐ์ได้โดยคลิกที่ลิงก์ออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องแสดงตัวเพื่อเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการวิจัยของชาวอเมริกัน
รูปแบบเหล่านี้อาจนับเป็นการคุกคาม ที่สามารถก่อตัวเป็นการโจมตีครั้งใหญ่กับเทคโนโลยีของอเมริกา เวลาแห่งการการถ่ายโอนทรัพย์สินทางปัญญาที่ใหญ่ที่สุดและเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนแผ่นดินของสหรัฐฯ
โฮลสไตน์ แสดงความเห็นว่า จีนอาจใช้ “ศิลปะแห่งสงครามขั้นสูงสุดคือการพิชิตศัตรูโดยไม่ต้องต่อสู้” ตามพิชัยสงครามซุนจื่อ (The Art of War) ยุคนี้ทุกฝ่ายต้องเรียนรู้วิธีรับมือกับรูปแบบของสงครามทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจกับรัฐบาลจีน ในเวลาเดียวกันก็อาจร่วมมือสัมพันธ์กันในประเด็นอื่น ๆ เพื่อให้การก้าวขึ้นสู่เวทีโลกของจีน มีลักษณะที่ไม่เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อผลประโยชน์ทางทหารหรือเศรษฐกิจของชาติใด.
ความร่วมมือกันของอเมริกากับจีน แน่นอนว่าดีกับทั้งอเมริกา กับจีนและโลก แต่ต้องหาจุดสมดุล เพื่อไม่ให้ "ความฝันจีน" กลายเป็น "ความฝันร้าย" ของใคร