ผู้เขียน ร่มฉัตร จันทรานุกูล, University of International Business and Economics,School of International Education
ปีนี้ล่วงเลยมาแล้วครึ่งปี ผู้เขียนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ย้อนกลับไปนึกถึงว่าปีนี้ทำสิ่งใดบรรลุตามเป้าหมายไปแล้วบ้าง บอกเลยว่าหลายสิ่งอย่างหยุดชะงักไปอัตโนมัติหลังการมาของโรคโควิด-19 ผู้เขียนเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านก็อาจจะรู้สึกแบบนี้เช่นกัน โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่มาเร็วและก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วเช่นกัน ขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกมีมากกว่า 7 ล้านคน จากแนวโน้มดังกล่าวก็ยังไม่เห็นท่าทีว่าตัวเลขจะลดลง นับว่าโลกของเราอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงเลยทีเดียว โรคระบาดเป็นสิ่งคุกคามมนุษย์ชาติมาทุกยุคทุกสมัยและเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวทุกคน มนุษย์พยายามจะเอาชนะกับธรรมชาติ แต่แท้จริงแล้วเมื่อเผชิญกับภัยพิบัติต่างๆมนุษย์เราหลายครั้งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ครึ่งปีที่ผ่านมา จีน ไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลก ใช้เวลา ใช้พลังงานไปกับการต่อสู้และป้องกันโรคระบาดอุบัติใหม่นี้ ในเรื่องของวิธีการต่อสู้และการป้องกันหลายประเทศมีหลักการที่คล้ายคลึงกัน อย่างประเทศไทยของเรามีระบบสาธารณสุขและทีมแพทย์ที่ยอดเยี่ยมทำให้สามารถควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จีนเองใช้ระบบเร่งด่วนและรวดเร็วสั่งตรงจากส่วนกลาง ทำให้สามารถที่จะรวบรวม ควบคุมและจัดการทรัพยากรทุกอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อย่างที่ทุกท่านทราบว่าการแพร่กระจายของโคโรนาไวรัสรวดเร็ว ติดกันง่ายดาย ดังนั้นในทุกประเทศหลังจากการควบคุมเบื้องต้นได้แล้วต้องระแวดระวังการกลับมาระบาดระลอกสองอีก เรียกว่าจะเผลอให้การ์ดตกไม่ได้เลย
จนถึงตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศก็ยังไม่ฟันธงร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าโคโรนาไวรัสแท้จริงแล้วมีต้นตอมาจากไหน ทุกวันนี้เรายังต้องทำความรู้จักกับไวรัสตัวนี้อยู่เรื่อยๆ เพราะโคโรนาไวรัสพัฒนาตัวเองให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมและแผ่ขยายแตกแขนงสายพันธุ์ย่อยออกไปมากมาย ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดวิทยาหลายท่านของจีนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันแล้วว่า โคโรนาไวรัสนี้อยู่ในสภาพแวดล้อมต่างๆได้อย่างคงทนและมีแนวโน้มว่าอาจจจะอยู่กับเราไปตลอด กล่าวคือ โคโรนาไวรัสชนิดนี้มีชีวิตอยู่และแพร่กระจายได้ในแทบจะทุกสภาพแวดล้อม อีกทั้งบนพื้นผิวสิ่งของต่างๆโคโรนาไวรัสชนิดนี้ก็อาจจะมีชีวิตอยู่ได้หลายวันด้วย!หลังจากเกิดอุบัติการณ์โรคโควิด-19 ชีวิตทุกคนเปลี่ยนแปลงไป การปรับตัวและป้องกันทำให้มีวิถีชีวิตแบบใหม่เกิดขึ้นไปโดยปริยาย
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ระบาดในประเทศจีนครั้งใหม่สดๆร้อนๆ ที่ทุกคนต่างงุนงงและหวาดระแวงกันอีกครั้งคือในเมืองหลวงปักกิ่ง ตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา ปักกิ่งพบผู้ป่วยรายใหม่หนึ่งรายหลังตัวเลขผู้ติดเชื้อฯเป็นศูนย์มา 56 วัน และมาจนถึงวันที่เขียนบทความชิ้นนี้(14 มิ.ย.)ผ่านไปแค่สี่วันผู้ป่วยรายใหม่ในท้องถิ่นปักกิ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 50 รายแล้ว ผู้ป่วยรายใหม่พวกนี้ต่างมีประวัติเกี่ยวข้องกับตลาดซินฟาตี้ศูนย์ค้าส่งของสดขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตเฟิงไถ ทางทิศใต้ของเมืองปักกิ่ง เจ้าหน้าที่ได้ปิดตลาดและหมู่บ้านใกล้เคียงทันทีหลังจากพบผู้ป่วยรายที่สามรายที่สี่ อีกทั้งห้ามคนในออกห้ามคนนอกเข้า และตรวจหาเชื้อทั้งหมด ครอบคลุมทั้งคนในตลาดและผู้ใกล้ชิด ออกประกาศไปในทุกเขตให้คนที่เคยไปตลาดซินฟาตี้นี้ช่วงหลังวันที่ 30 พ.ค.ไปตรวจหาเชื้อไวรัส พร้อมเก็บตัวอย่างจากสิ่งของในตลาด เป็นต้น
นี่คือความเสี่ยงใหม่ของจีนกับการกลับมาระบาดเป็นวงกว้างระลอกสอง ครั้งนี้รัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น หน่วยงานเอกชนและประชาชนจีนตื่นตัวเป็นอย่างยิ่ง การระบาดใหม่นี้เป็นสิ่งเกินความคาดหมายของคนทั่วไป เพราะในช่วงนี้จีนเน้นป้องกันผู้ติดเชื้อโควิด-19 ขาเข้าอย่างเข้มงวด และจากการระบาดครั้งใหม่นี้ยังหาสาเหตุและต้นตอที่แน่ชัดยังไม่ได้ว่ามาจากไหน ถึงแม้ว่าจะตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนาในตัวอย่างจากเขียงแล่ปลาแซลมอน ก็ยังไม่แน่ชัดอีกว่า คนติดเชื้อไวรัสมาจากปลาแซลมอนหรือว่าปลาแซลมอนติดเชื้อจากคน
จีนเป็นประเทศแรกที่เกิดการระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โดยเริ่มจากอู่ฮั่นเมื่อปลายเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา เมื่อจีนควบคุมการแพร่ระบาดได้ คนจีนทุกคนรอวันที่เชื้อโควิด-19 จะหมดไปและกลับมาใช้ชีวิตปกติสุขแบบแต่ก่อน ทว่ารอมาจนครึ่งปีก็ยังไม่เห็นวี่แวว ส่วนวัคซีนป้องกันเองก็คงจะยังไม่มีออกมาใช้ในเร็ววัน และอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญคาดคะเนไว้ว่าโรคโควิด-19 อาจจะอยู่กับเราระยะยาวไปตลอดหรือที่ภาษาจีนนิยมกล่าวกันบ่อยๆว่า “长期共存”(อ่านว่า ฉางชีก้งฉุน)
ในเมื่อยังหาวิธีชนะขาดกับโคโรนาไวรัสนี้ไม่ได้ก็ต้องหาวิธีรับมือกันต่อไป และหากเป็นเช่นนี้ จีนมีมาตรการรับมือในอนาคตอย่างไร?ผู้เขียนขอสรุปเป็นประเด็นต่างๆคร่าวๆได้ดังต่อไปนี้
1) การยกระดับการตรวจสอบสุขภาพของประชาชนทุกคน Healthy code ประจำตัวบุคคลจะถูกใช้ไปตลอด :หลังการระบาดแบบกลุ่มก้อนครั้งใหม่ในปักกิ่ง รัฐบาลประกาศว่าจะอัพเกรดเวอร์ชั่นใหม่ของ Healthy code ทั่วประเทศที่มีรายละเอียดและแม่นยำมากขึ้น ไม่ใช่แค่ผูกกับบัตรประจำตัวประชาชนและหมายเลขโทรศัพท์เท่านั้น แต่จะมีการผูกกับบัตรสวัสดิการสังคมไปจนถึงบัตรเข้าออกหมู่บ้านด้วย ทั้งนี้เพื่อลดอัตราความผิดพลาดของข้อมูลการตรวจสอบและเพิ่มระดับการควบคุมโรคอย่างรอบด้าน ในปัจจุบันหลายพื้นที่สาธารณะนอกเหนือจากการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ยังใช้การดู Healthy code ในการเข้า-ออกเกือบทุกที่แล้ว และสิ่งนี้เองก็จะกลายเป็นภาวะปกติใหม่ของจีนไปตลอดที่ทุกคนต้องหันมาปรับตัวให้เคยชิน
2) การใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะจะเป็นภาวะปกติใหม่ของคนจีน :หลังจากการใส่หน้ากากมาตลอดครึ่งปี คนจีนก็ยังคงจะต้องใส่กันต่อไป ถึงแม้ว่าหลายพื้นที่จะมีการผ่อนคลายแต่การใส่หน้ากากยังเป็นสิ่งจำเป็นกับการนั่งรถสาธารณะและการเข้าสถานที่ปิดต่างๆ ทั้งนี้การใส่หน้ากากอนามัยจะกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนจำเป็นต้องมี ต้องใส่ไปตลอด เพราะการป้องกันโรคระบาดเป็นหน้าที่ของทุกคนในสังคม ดังนั้นทุกคนต้องหันมาปรับตัวให้เคยชินเช่นกัน
3) เพิ่มศักยภาพทางการแพทย์โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี การตรวจเชื้อโควิด-19 จะกลายเป็นภาวะปกติใหม่:ในปัจจุบันจีนเปิดกว้างการตรวจหาเชื้อโควิด-19 กับประชาชนทั่วไปแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะไม่ตรวจให้กับบุคคลที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง อย่างทุกวันนี้ในปักกิ่งมีจุดตรวจเชื้อโควิด-19 ในโรงพยาบาลทั้งหมด 98 แห่ง ก่อนหน้านี้ทรัพยากรชุดตรวจต่างๆที่มีอยู่จำกัด จีนใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนในการยกศักภาพการผลิตทางการแพทย์ให้กลับมาเพียงพอกับความต้องการ อีกทั้งพร้อมรองรับความต้องการในอนาคตด้วย ชุดตรวจและวิธีการตรวจโควิด-19 ของจีนมีหลายเวอร์ชั่นมีหลายวิธีพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน ที่มีความแม่นยำค่อนข้างสูงและรวดเร็ว บางหน่วยงานในจีนยังใช้ผลการตรวจโควิดของบุคลากรที่เดินทางภายในประเทศเป็นตัวรับรองสุขภาพนอกเหนือจาก Healthy code ด้วย ทั้งนี้ในอนาคตการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศจีนจะเป็นภาวะปกติด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ยังมีรายละเอียดหลายประเด็นที่ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึง สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันทำให้เราต้องหาแนวทางรับมือต่อในอนาคต ถึงแม้จะไม่เคยชินในหลายสิ่งหลายอย่างก็ต้องทำใจและปรับตัวกันเพื่อความอยู่รอดของตัวเองและส่วนรวม ณ เวลานี้วัคซีนป้องกันเชื้อโควิดเป็นความหวังเดียวของคนทั่วโลก