ในกระแสทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดที่ชี้ว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 หลุดออกจากห้องทดลองของสถาบันไวรัสวิทยาเมืองอู่ฮั่น และผู้ที่ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือ นาง สือ เจิงลี่ (石正丽) นักไวรัสวิทยาระดับแถวหน้าของโลก ผู้มีฉายา “มนุษย์ค้างคาวหญิงแห่งเมืองจีน” (Bat Woman)
หลังจากที่โรคระบาดจากไวรัสซาร์สแพร่ระบดในปี 2002-2003 สือ เจิงลี่ นักวิจัยประจำสถาบันไวรัสวิทยาเมืองอู่ฮั่น (Wuhan Institute of Virology) ก็ลุยงานวิจัยไวรัสในค้างคาว ดั้นด้นไปตามถ้ำต่างๆ เพ่งพินิจตรวจมูลค้างคาว เธอบุกป่าฝ่าดงปีนเขาข้ามเขต 28 มณฑลในจีน เมื่อพบถ้ำนิวาสสถานของค้างคาวก็จัดแจงสวมชุดป้องกันเชื้อโรคจากศีรษะจรดเท้า และเข้าไปในถ้ำเก็บตัวอย่างมูลค้างคาวชนิดต่างๆ
สือนำสิ่งที่ได้จากถ้ำมืดเหล่านั้นกลับมายังสถาบันทดลองทางชีวภาพแห่งชาติในอู่ฮั่น (National Biosafety Laboratory) มณฑลหูเป่ยเพื่อวิเคราะห์ เธอคือหัวเรี่ยวหัวแรงหลักนำทีมวิจัยทำงานหนักมากว่าสิบปี จนสร้างฐานข้อมูลไวรัสจากค้างคาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง
เรื่องราวของสือ เจิงลี่ที่สื่อในจีนเปิดเผยหลังจากเกิดการระบาดโควิด-19 ได้แก่ รายงานข่าวของเป่ยจิง นิวส์ (bjnews.com.cn) เผยแพร่เมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา ระบุว่าทีมนักวิจัยของสือเป็นผู้พบหลักฐานทางเซรุ่มวิทยา (หรือการวินิจฉัยโรคโดยการตรวจแอนติบอดีในน้ำเลือด) ที่ยืนยัน “เชื้อไวรัสซาร์ส (SARSr-CoV) ในค้างคาว” หรือไวรัสอื่นๆที่ปนเปื้อนในมนุษย์ตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว
ระหว่างการวิจัยจากเดือนพ.ย. 2017-ก.พ. 2018 ทีมวิจัยของสือได้ตรวจแอนตี้บอดี้ในซีรั่มของชาวบ้านในมณฑลอวิ๋นหนัน (ยูนนาน) 218 คน และพบว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ของซาร์สนั้นมีศักยภาพสูงที่จะติดต่อโดยตรงสู่คนโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวกลาง หรือาศัยพาหะอื่นแพร่เชื้อสู่คน รายงานวิจัยยังได้เตือนให้ติดตามและเฝ้าระวังเชื้อไวรัสตระกูลซาร์สจากค้างคาว
จากการศึกษาวิจัย 5 ปีของสือยังได้ข้อสรุปอีกชิ้นหนึ่งว่าองค์ประกอบทั้งหมดในรหัสพันธุกรรมของ “ไวรัสซาร์ส”นั้นมาจากไวรัสซาร์สในค้างคาวในมณฑลยูนนาน และค้างคาวเกือกม้าจีน(Chinese Horseshoe Bat)เป็นแหล่งอาศัยตามธรรมชาติของไวรัสซาร์ส
ในรายงานของทีมวิจัยของสือที่เปิดเผยในวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่าลำดับทางพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV2) หรือโควิด-19 ตรงกับไวรัสซาร์สที่ระบาดเมื่อปี 2002-03 (SARS-CoV)79.5 เปอร์เซ็นต์ และตรงกับไวรัสในค้างคาวเกือกม้าในยูนนานถึง 96 เปอร์เซ็นต์
...และนี่คือข้อเท็จจริงที่กลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่ที่ถูกนำมาปะติดปะต่อหรือจับแพะชนแกะจนทำให้นักไวรัสวิทยาหญิงเหล็ก “สือ เจิงลี่” ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์ของขบวนการตามล่าแหล่งต้นตอโควิด-19…
งานวิจัยไวรัสซาร์สในค้างคาวของสือ เป็นการจุดประกายให้กับโลกแห่งการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อเข้าใจถึงต้นตอของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ คุณูปการดังกล่าวควรที่จะได้รับคำสรรเสริญยกย่อง ท่ามกลางความอลหม่านในวิกฤตโรคระบาดใหญ่ สือ เจิงลี่ในฐานะนักไวรัสวิทยาที่โดดเด่นในงานวิจัยไวรัสซาร์สในค้างคาวของสถาบันไวรัสวิทยาเมืองอู่ฮั่นซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดเชื้อโรคฯนั้นถูกจับตามองมากที่สุดเหมือนกับได้ก้าวขึ้นมาบนเวทีที่ไฟทุกดวงสาดส่องมายังเธอ ทว่า มันกลับกลายเป็นแสงไฟแห่งคำวิพากษ์วิจารณ์ที่แสบร้อน
รายงานสื่อในฮ่องกง เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ระบุว่า ในช่วงเดือนก.พ. มีการสืบค้นทางอินเทอร์เน็ตเพื่ออ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ “สือ เจิงลี่” เพิ่มขึ้น 2,000 เท่าจากระดับเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงนั้น อีกทั้งข้อความโพสต์ในโซเชียล มีเดียจีน และช่องทางต่างๆบนอินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวกับสือและสถาบันไวรัสวิทยาในอู่ฮั่นเป็นเนื้อหาด้านลบแทบทั้งสิ้น บางคนถึงกับเรียกเธอว่า “นางปิศาจตัวแม่”
“ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นการลงโทษโดยธรรมชาติต่อมนุษย์ที่ใช้ชีวิตสกปรกโสมม ฉันขอยืนยันด้วยชีวิตว่าการแพร่ระบาดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ไม่เกี่ยวกับห้องทดลองอู่ฮั่น” สือส่งข้อความสั้นให้กับเพื่อนทุกคนในวีแชท (WeChat) เมื่อวันที่ 2 ก.พ.
ด้านกลุ่มสื่อในโลกตะวันตกรายงานเกี่ยวกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่าสือปิดปากเงียบเกี่ยวกับการค้นพบไวรัสลึกลับที่เป็นเครือญาติของไวรัสซาร์สหลังจากที่เกิดการระบาดเมื่อปลายปีที่แล้ว
รายงานข่าวของสื่อค่ายโลกตะวันตก อาทิ MailOnline (dailymail.co.uk), วารสารเฉพาะทางวิทยาศาสตร์ Scientific American เป็นต้น เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 ธ.ค.ปีที่ผ่านมาขณะที่สือเจิงลี่ประชุมอยู่ในนครเซี่ยงไฮ้ เธอต้องออกจากการประชุมกะทันหันเมื่อได้รับข่าวเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสลึกลับและโดดขึ้นรถไฟขบวนแรกที่มุ่งไปอู่ฮั่นรุดมาที่ห้องทดลองสถาบันวิจัยไวรัส สือสามารถถอดรหัสยีนส์ไวรัสสายพันธุ์ใหม่เสร็จสมบูรณ์ภายในสามวัน
“ฉันสงสัยอยู่แล้วว่ามันจะเกิดความผิดพลาดขึ้น ฉันไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นในอู่ฮั่น” วารสาร Scientific American อ้างคำพูดของสือตอนที่รุดกลับมาที่ห้องทดลองในอู่ฮั่นเมื่อปลายปีที่แล้ว
สำหรับสถาบันไวรัสวิทยาเมืองนครอู่ฮั่น เปิดเมื่อเดือนพ.ย. 2017 เป็นแล็บที่ทันสมัยที่สุดในจีน เป็นห้องทดลองวิทยาศาสตร์ระดับ P4 ซึ่งเป็นระดับความปลอดภัยทางชีวภาพขั้นสูงที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญที่ไม่เชื่อว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หลุดออกจากแล็บในอู่ฮั่น คือ ดร. Gerald Keusch ศาสตราจารย์ประจำศูนย์การแพทย์และสุขภาพนานาชาติ (Medicine and International Health) ของวิทยาลัยการแพทย์และสาธารณสุขแห่งมหาวิทยาลัยบอสตัน (Boston University's Schools of Medicine and Public Health)
“ไม่เคยมีไวรัสหลุดออกจากแล็บชั้นนำระดับ P4 ในอู่ฮั่น” Keusch กล่าว และว่า “พวกทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดนั้นไม่สนใจข้อเท็จจริง พวกเขาสนใจเพียงการกระตุ้นความสงสัยและความวิตกกังวล”
ล่าสุด...เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวลือโจษจันว่า สือเจิงลี่ “แปรพักตร์” พาคนในครอบครัวหอบ “เอกสารลับร่วมหนึ่งพันชิ้น” เผ่นหนีไปยุโรป และได้ยื่นคำร้องขอความคุ้มครองกับสถานทูตสหรัฐฯในฝรั่งเศส
จนกระทั่งสื่อทางการจีน อย่างเช่น พีเพิล เดลี่(people.cn), โกลบอล ไทม์ส(Global Times) รายงานข่าวเมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา ปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว โดยนำข้อความโพสต์ในบัญชีโซเชียล มีเดีย วีแชท (WeChat) ของสือ มาเผยแพร่ ซึ่งเขียนว่า “เพื่อนๆที่รัก...ฉันและครอบครัวสบายดี ไม่ว่าจะเผชิญปัญหาร้ายแรงเพียงไรก็ตาม ไม่มีวันที่ฉันจะ ‘แปรพักตร์’ ตามที่ข่าวลือโจษจัน พวกเราไม่ได้ทำผิดอะไร พวกเรามีศรัทธาที่มั่นคงต่อวิทยาศาสตร์ จะต้องมีวันที่เมฆสลายไปและดวงตะวันฉายแสงสว่างออกมา”
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระแสทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดที่โจมตีนักวิจัยจีน: “มนุษย์ค้างคาว” นักวิจัยจีนบุกถ้ำไล่ล่าค้างคาวกับปริศนาต้นตอเชื้อโรคระบาดโควิด-19