เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - นาย จอห์น วอล์กเกอร์ ประธาน อ็อกซ์ฟอร์ด อิโคโนมิกส์ บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ซึ่งตั้งอยู่ในอังกฤษ คาดการณ์ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อปีของจีนไปไม่ถึงเป้าหมายตามที่รัฐบาลปักกิ่งตั้งไว้ที่ประมาณร้อยละ 6.5 ในช่วง 5 ปีข้างหน้า แต่ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลจีนและตลาดโลกต้องกังวล เพราะเศรษฐกิจแดนมังกรจะยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
นายวอล์กเกอร์ ระบุว่า เศรษฐกิจจีนน่าจะโตประมาณร้อยละ 3-4 ต่อปี ซึ่งยังคงมีภาวะแข็งแกร่ง โดยเขาให้เหตุผลว่า เมื่อจีนกำลังกลายเป็นชาติพัฒนามากขึ้น อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจย่อมชะลอลงเป็นธรรมดา ซึ่งมิใช่ความยุ่งยากในทางเศรษฐกิจ แต่จะเป็นความยากลำบากในทางการเมืองสำหรับรัฐบาล
จีนตั้งเป้าหมายให้เศรษฐกิจมีอัตราขยายตัวขไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6.5 ไปจนถึงปี 2563 เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี ต่อหัวประชากร โตเพิ่ม 2 เท่าในทศวรรษนี้ตามเป้าหมายของพรรคคอมมิวนิสต์
อย่างไรก็ตาม การตั้งเป้าหมายดังกล่าวถูกจับตามองมากขึ้น เนื่องจากอาจทำให้รัฐบาลปักกิ่งยังต้องมุ่งเน้นไปที่การลงทุนและสร้างการเติบโตในระยะสั้นต่อไป แทนการมุ่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก โดยจีดีพีของจีนโตร้อยละ 6.7 ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ในขณะที่เศรษฐกิจจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก ยังคงชะลอตัว
ประธานของอ็อกซ์ฟอร์ด อิโคโนมิกส์ ซึ่งให้คำปรึกษาการคาดการณ์เศรษฐกิจ ระบุว่า ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนถูกกำหนดให้ดำเนินต่อไป เนื่องจากกำลังแรงงานในจีนเริ่มหดตัว นอกจากนั้น ภาคบริการยังแซงหน้าภาคการลงทุนและภาคการผลิต
นายวอล์กเกอร์ระบุว่า นานาชาติไม่ควรวิตกกังวลมากจนเกินไป ที่เศรษฐกิจจีนโตร้อยละ 3 หรือ 4 ตราบใดที่เศรษฐกิจจีนยังคงมีการเติบโต และมีการแก้ไขความไม่สมดุลต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม การปรับสมดุลทางเศรษฐกิจของจีน จากแต่ก่อนที่พึ่งพาการลงทุนภาครัฐ เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจโต อาจทำให้ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกแย่ลง
เขายังชี้ด้วยว่า ภาวะการออมเงิน ที่ล้นเกิน เป็นปัญหาใหญ่กว่าปัญหาเชิงโครงสร้างอื่น ๆ โดยมีเงินออมในทั่วโลกมากกว่าโอกาส ที่จะนำเงินออมใช้ในการลงทุน สิ่งนี้เองสร้างแรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ยทั่วโลก
นอกจากนั้น ตามการวิเคราะห์ของนายวอล์กเกอร์ ความเสี่ยงใหญ่สุดสำหรับเศรษฐกิจโลกในปีนี้และปีหน้าก็คือนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ