ASTVผู้จัดการออนไลน์--ความวุ่นวายในฮ่องกงจากปลายเดือนก.ย.ที่ผ่านมา สืบเนื่องจากการชุมนุมเรียกร้องการปฏิรูปประชาธิปไตยของกลุ่มนักศึกษาที่เปิดฉากโดยการหยุดเรียน ตามสมทบด้วยการเคลื่อนขบวน “ปิดศูนย์กลาง” ของกลุ่มเคลื่อนไหวที่ชื่อว่า “อ็อกคิวพายเซ็นทรัล” (Occupy Central) ระดมประชาชนร่วมแสนออกมาเดินขบวนชุมนุมปิดใจกลางศูนย์กลางการเงิน จนรัฐบาลได้สั่งการสลายการประท้วงด้วยการยิงสเปรย์พริกไทยและแก๊สน้ำตาเข้าใส่กลุ่มประท้วงในวันอาทิตย์ที่ 28 ก.ย.
การชุมนุมประท้วงใหญ่ถึงขั้นปิดเมืองครั้งนี้ มีชนวนมาจากการที่คณะกรรมการประจำสมัชชาผู้แทนประชาชนแห่งจีน (เอ็นพีซี) หรือรัฐสภา ลงคะแนนเสียงรับรองกรอบงานการเลือกตั้งหัวหน้าคณะผู้บริหารเขตบริหารพิเศษแห่งฮ่องกงในปี 2560 เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ระบุให้มีผู้สมัครรับการเลือกตั้งเพียง 2 หรือ 3 คน ที่ได้รับเสียงรับรองจากคณะกรรมาธิการการเลือกตั้งฯ ลงสนามการเลือกตั้ง
การลงคะแนนเสียงของรัฐสภาจีนเช่นนี้ สร้างความผิดหวังแก่กลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตย ที่กำลังเรียกร้องสิทธิการเลือกตั้งโดยตรง ที่ให้สิทธิประชาชนเป็นผู้เสนอชื่อกลุ่มผู้ลงสมัครรับการเลือกตั้ง โดยไม่ผ่านการคัดสรรจากคณะกรรมการเลือกตั้ง และในวันเดียวกันนั้น กลุ่มรณรงค์ปฏิรูปประชาธิปไตย นำโดยอ็อกคิวพายเซ็นทรัล ก็ออกโรงมาประกาศ “ยุคใหม่แห่งอารยะขัดขืน” และนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 1 ต.ค.
จากรูปการณ์ที่คนภายนอกเห็นนั้น เป็นการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตย และรัฐบาล อันหมายถึงจีนนั่นเอง ส่วนหัวหน้าใหญ่คณะปกครองบริหารฮ่องกง คือ เหลียง เจิ้นอิง นั้น ก็คือ ผู้นำที่จีนคัดสรรมาปกครองดูแลฮ่องกง
ทว่าในอีกมุมมองหนึ่งที่น่าใคร่ครวญ เสนอโดยนาย Martin Jacques ระบุในบทความ China is Hong Kong’s future - not its enemy เผยแพร่ในสื่ออังกฤษ The Guardian ในบทความระบุว่า *1)“กรณีวุ่นวายในฮ่องกงขณะนี้ มีความซับซ้อนกว่าตัวเหตุการณ์ที่ปรากฏซึ่งเป็นเพียงพื้นผิวภายนอกเท่านั้น
อย่าลืมว่า ในประวัติศาสตร์ เกาะฮ่องกงอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดินิยมอังกฤษนับจากวันที่อังกฤษบีบจีนให้ลงนามสัญญานานกิงหลังสงครามฝิ่นครั้งแรก (1842) นานถึง 155 ปี จนกระทั่งวันส่งมอบอำนาจการปกครองดินแดนคืนสู่จีนในปี 1997 (2540) ระหว่างนั้น ผู้ว่าฮ่องกง 28 คน ก็มาจากการแต่งตั้งโดยจ้าวอาณานิคมอังกฤษ แม้ในช่วงที่ฮ่องกงมีกฎหมายและสิทธิในการประท้วงระหว่างอยู่ใต้การปกครองอังกฤษ ฮ่องกงก็มิได้สัมผัสแม้สิ่งที่ “ดูคล้ายประชาธิปไตย” ฮ่องกงอยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำในลอนดอนที่อยู่ห่างไกล 6,000 ไมล์
และเป็นรัฐบาลจีนต่างหาก ที่เป็นผู้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบประชาธิปไตยสำหรับฮ่องกงเป็นครั้งแรก โดยรัฐสภาจีนได้รับรองกฎหมายพื้นฐาน (Basic Law) ในวันที่ 4 เม.ย.ปี ค.ศ. 1990 (2533) ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ค. 1997 วันที่อังกฤษส่งมอบอำนาจคืนสู่จีน ในฐานะเป็นเขตบริหารพิเศษของสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้ข้อตกลงสูตรการปกครอง “หนึ่งประเทศสองระบบ” ในกฎหมายพื้นฐานนี้เองได้ระบุสัญญาไว้ว่า ในปี 2017 (2560) หัวหน้าคณะผู้บริหารดินแดนจะมาจากการเลือกตั้งทั่วไป (universal suffrage) ทั้งยังได้ระบุชัดเจนด้วยว่าการเสนอชื่อผู้ลงสมัครรับการเลือกตั้งเป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการเลือกตั้งฯ ที่มีบทบาทหน้าที่ในการเสนอรายชื่อผู้ลงสมัครระบการเลือกตั้ง
ข้อเสนอดังกล่าวนับเป็นนวัตกรรมใหม่แห่งการปฏิรูป ที่ชาวตะวันตกไม่คุ้นเคยเลย เป็นการบัญญัติรัฐธรรมนูญแบบจีน ส่วนแนวคิดสูตรการปกครอง “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ได้สัญญาว่าฮ่องกงจะมีระบบการเมืองและกฎหมายของตัวเองไปนาน 50 ปี ดังนั้นการเมืองการปกครองฮ่องกงจึงแตกต่างไปจากแผ่นดินใหญ่ ขณะเดียวกันก็อยู่ภายใต้อธิปไตยของจีน แต่จีนเป็นรัฐอารยะ (civilisation-state) มากกว่ารัฐชาติ (nation-state) จากพื้นฐานประวัติศาสตร์แล้วจีนไม่อาจผนึกรวมเขตหรือดินแดนส่วนต่างๆเข้าด้วยกันโดยไร้ความยืดหยุ่นระดับสูง ในความคิดของจีน คือ “หนึ่งอารยะ หลายระบบ” ก่อร่างขึ้นจากประวัติศาสตร์ที่มีความแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น
ตลอด 17 ปี ที่ฮ่องกงอยู่ภายใต้การปกครองจีนคอมมิวนิสต์ แม้ผู้ที่มักคัดค้านโต้แย้งจีน ก็ต้องยอมรับว่าจีนได้รักษาสัญญาหลักการ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ระบบกฎหมายยังอยู่บนพื้นฐานกฎหมายอังกฤษ ดำเนินตามครรลองกฎหมายพื้นฐาน ทั้งสิทธิการชุมนุมประท้วงในปัจจุบัน ก็ยังมีอยู่ในระดับสูง
*2) ผู้นำเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้ริเริ่มสูตรปกครอง “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ในการส่งมอบอำนาจปกครองดินแดนฮ่องกง ได้เขียนอรรถาธิบาย “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ในบทที่สาม ระบุขอบเขตและบรรทัดฐานไว้ ว่า “ชาวฮ่องกง การปกครองฮ่องกง จะต้องอยู่ภายใต้การบริหารปกครองโดยชาวฮ่องกงผู้เทิดทูนความรักชาติเป็นใหญ่ องค์ประกอบสมาชิกหลักของคณะรัฐบาลเขตบริหารพิเศษแห่งฮ่องกงจะต้องเป็นผู้รักชาติ ผู้รักชาติคือ ผู้เคารพในชนชาติตัวเอง สัตย์ซื่อในการพิทักษ์การฟื้นฟูอธิปไตยดินแดนฮ่องกงของมาตุภูมิ ไม่ทำลายเสถียรภาพและความรุ่งโรจน์ของฮ่องกง
ทว่า ก็อาจมีพลังที่อาจทำลายดินแดน ไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม หากเกิดความวุ่นวาย รัฐบาลกลางก็ต้องเข้าแทรกแซง
ฮ่องกงต้องมีเสถียรภาพ เป็นสิ่งสำคัญหลัก เสถียรภาพของฮ่องกงนั้น นอกจากในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว ยังต้องการเสถียรภาพในระบบการปกครอง ผม (เติ้ง เสี่ยวผิง)ได้เคยกล่าวมาแล้ว ระบบการปกครองฮ่องกงในปัจจุบัน มิใช่ระบบการปกครองแบบอังกฤษ ระบบการปกครองแบบอเมริกา และจากนี้ไปจะไม่มีการเลียนแบบระบบระบอบใดของตะวันตก
*1)อ้างอิงจาก China is Hong Kong’s future - not its enemy เผยแพร่ใน The Guardian เขียนโดย Martin Jacques ผู้เขียน When China Rules the World: The End of the Western World and the Birth of a New Global Order
*2) อ้างอิงจากบทอรรถาธิบาย “หนึ่งประเทศ สองระบบ” โดย เติ้ง เสี่ยวผิง 《邓小平文选》第三卷