เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - ครอบครัวของผู้โดยสารชาวจีนที่สูญหายไปพร้อมกับเครื่องบินของมาเลเซียแอร์ไลน์อยู่ในอาการสิ้นหวังท้อแท้ ที่ไม่ได้รับทราบข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับชะตากรรมของญาติพี่น้องจากปากรัฐบาลมาเลเซีย นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์
สมาชิกครอบครัวราว 100 คนจึงได้ร่วมกันออกแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์ ( 9 มี.ค.) เรียกร้องขอทราบข้อเท็จจริง ที่อยู่เบื้องหลังจากสูญหายไปอย่างลึกลับของเครื่องบินโดยสารเที่ยวบินที่MH370 พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือรวมทั้งหมด 239 คน ซึ่งผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวจีน
นอกจากนั้น ยังได้ยื่นจดหมายต่อกระทรวงการต่างประเทศของจีน เพื่อขอให้ช่วยสอบถามความจริงจากรัฐบาลมาเลเซีย พร้อมกับขอให้รัฐบาลปักกิ่งส่งเจ้าหน้าที่ช่วยเจรจากับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในมาเลเซียด้วย
” จนถึงขณะนี้มีแต่บริษัทของสายการบินนี้เท่านั้น ที่ติดต่อกับเรา” สตรีผู้หนึ่งเปิดเผย “ ฉันหวังว่า รัฐบาลจีนจะมาพูดคุยกับเรา ยิ่งรัฐบาลดำเนินการเหมาะสมเร็วเท่าไร โอกาสของการรอดชีวิตก็อาจมีความเป็นไปได้มากเท่านั้น” เธอกล่าว
เมื่อวันอาทิตย์ ทางสายการบินได้บอกกับญาติพี่น้องของผู้โดยสาร ที่มารอฟังข่าว ให้ทำใจรับข่าวร้าย โดยนายฮิว ดันเลวี ผู้อำนวยการฝ่ายพาณิชย์ของมาเลเซียแอร์ไลน์ระบุว่า จำเป็นต้องทำ เพราะเหตุการณ์ล่วงเลยมานาน 30 ชั่วโมงแล้วในตอนนั้น
คำพูดดังกล่าวทำให้อากาศภายในโรงแรมเมโทรป้าร์กลิโด หนาวเย็นเยือก หลายคนถึงกับร้องไห้โฮออกมา บางคนล้มลงกับพื้น บางคนเข่าอ่อน และได้แต่สวดภาวนาอ้อนวอนสิ่งศักดิ์อยู่เงียบ ๆ
มีสมาชิกครอบครัวราว 200 คน เข้าพักในโรงแรม 2 แห่ง ซึ่งทางสายการบินจัดเตรียมไว้ให้ นอกจากนั้น ได้จัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ อำนวยความสะดวกในการเดินทางไปมาเลเซียโดยเร็วที่สุด ซึ่งครอบครัวชุดแรกสามารถออกเดินทางได้เร็วที่สุดในวันอังคารนี้ (11 มี.ค.)
หลังจากเครื่องบินโดยสารลำดังกล่าว ซึ่งออกจากสนามบินในกรุงกัวลาลัมเปอร์ มุ่งหน้าสู่กรุงปักกิ่ง ได้หายไปจากจอเรดาร์ตั้งแต่เมื่อเช้ามืดวันเสาร์ ที่ผ่านมา หลังจากทะยานขึ้นจากสนามบินได้เพียง 1 ชั่ว เหตุการณ์ผ่านมา 3 วันแล้ว แต่ปฏิบัติการค้นหา ซึ่งมี 9 ชาติร่วมมือกัน ในทะเลระหว่างมาเลเซียกับเวียดนาม ยังไม่สามารถพบจุดที่เครื่องบินตกได้เลย
ผู้เชี่ยวชาญด้านเรด้าร์ทางทหารของจีนผู้หนึ่งระบุว่า การสนองตอบต่อเหตุการณ์ของมาเลเซียช้าเกินไปและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
“ระบบติดตามของเรด้าร์สมัยใหม่มีความไวและมีขีดความสามารถมาก มันสามารถจับข้อมูลทางกายภาพเกี่ยวกับเครื่องบิน เช่นความเร็ว และระดับความสูง ซึ่งสามารถนำมาใช้ประเมินเขต ที่เครื่องบินตกได้อย่างแม่นยำ” เขากล่าว
“ผมสงสัยว่า ทางการมาเลเซียกำลังปกปิดข้อมูลบางอย่าง เรายังไม่ได้สิ่งที่เป็นประโยชน์ใด ๆ จากทางการเวียดนามด้วยเช่นกัน”
“การร่วมมือกันและการวิเคราะห์ข้อมูลเรด้าร์ควรทำ หลังจากเครื่องบินขาดการติดต่อไม่กี่นาทีแล้ว และควรทำเสร็จนานแล้วด้วย”
“ถ้าสมมุติว่า ยังมีผู้รอดชีวิต กว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยจะไปถึงก็สายเกินไปเสียแล้ว”
ศาสตราจารย์ซุน จินผิง ผู้เชี่ยวชาญเรด้าร์ของมหาวิทยาลัยการบินและอวกาศแห่งปักกิ่งระบุว่า อาจยังพอมีความหวังอยู่บ้าง ที่เครื่องบินลำนี้จะบินเข้าไปในเขตที่ไม่มีเรด้าร์ หรือไม่มีเรด้าร์ของชาติใดครอบคลุมไปถึง จึงทำให้ไม่สามารถระบุตำแหน่งของเครื่องบินได้ เนื่องจากเรด้าร์ทางทหารส่วนใหญ่มีระยะตรวจจับไม่ถึง 200 กิโลเมตร นอกจากนั้น เรด้าร์อาจไม่ทำงานตลอดเวลา ถ้าทหารเห็นว่า บริเวณนั้นมีความปลอดภัย หรือต้องการประหยัดไฟฟ้า
ญาติพี่น้องบางคนก็ยังคงมีความหวังเช่นกัน
ชายหนุ่มผู้หนึ่งจากมณฑลเหอเป่ยเล่าว่า เขาได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของน้องชาย เมื่อเขาโทรเข้าเครื่องเมื่อเช้าวันอาทิตย์ แต่อีกไม่กี่วินาทีก็เงียบเสียงไป
เขาตื่นเต้นมาก และวิ่งไปบอกเจ้าหน้าที่ของมาเลเซียแอร์ไลน์ว่า ยังอาจมีความหวัง ทว่าพอเขาโทรเข้าโทรศัพท์มือของน้องชายเป็นครั้งที่ 3 กลับไม่มีเสียงตอบรับอีกต่อไป ทางสายการบินยังบอกกับเขาด้วยว่า สายการบินไม่สามารถบอกตำแหน่งของโทรศัพท์มือถือได้ รัฐบาลมาเลเซียทำได้เพียงผู้เดียว
“ทางสายการบินบอกว่า รัฐบาลมาเลเซียเท่านั้นที่ทำได้ เราไม่รู้เลยว่ารัฐบาลมาเลเซียได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวอย่างหดหู่ใจ