เว่ยอิ๋งผู้ปกครองแคว้นเว่ยได้ตกลงเป็นพันธมิตรกับเถียนโหวโหมวแห่งแคว้นฉี แต่เถียนโหวโหมวกลับทรยศ สร้างความโกรธแค้นแก่เว่ยอิ๋ง จึงคิดแผนส่งคนไปสังหาร กงซุนเหยี่ยนขุนพลกลาโหมได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกละอายนัก โต้แย้งขึ้นว่า
“พระองค์เป็นผู้ปกครองแคว้นอันเกรียงไกรพร้อมด้วยขุนพลนับหมื่น แต่กลับดำริส่งสามัญชนไปชำระความแค้น ข้าต้องการกองทัพทหารหาญสองแสนเพื่อแก้แค้น กวาดต้อนราษฎรแคว้นฉีมาถวายแด่พระองค์ ข้าจะทำให้ศัตรูสับสนคลั่งแค้นกระทั่งล้มป่วยด้วยฝีกลางหลัง จากนั้นข้าก็จะบุกเข้าจู่โจมเมืองหลวง และเมื่อแม่ทัพเถียนจี้ล่าถอยหนี ข้าก็จะฟันที่กลางหลังของเขา”
เมื่อจี้จื่อผู้ทรงคุณธรรมได้ยินเข้า ก็เต็มไปด้วยความละอาย และกล่าวขึ้นว่า “เมื่อมีดำริให้สร้างกำแพงสูงใหญ่ และขณะที่จวนจะเสร็จสมบูรณ์อยู่นั้น ก็กลับสั่งให้รื้อทำลาย เหล่าไพร่ที่ถูกเกณฑ์แรงงานย่อมเฝ้าดูด้วยความเจ็บปวดที่สู้เหนื่อยยากลงแรงไปโดยเปล่าประโยชน์ แว่นแคว้นของเรามิได้ระดมกองทัพมาเป็นเวลาถึงเจ็ดปี และความสงบสุขนี้คือรากฐานการปกครองของพระองค์ กงซุนเหยี่ยนเป็นทรชนก่อความวุ่นวาย อย่าได้นำพาต่อคำแนะนำของเขา”
ฮว่าจื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกชิงชัง จึงกล่าวขึ้นว่า “ผู้ผลีผลามบอกว่า ‘โจมตีฉี’ นั้น เป็นทรชนผู้ก่อความวุ่นวาย และผู้ผลีผลามบอกว่า ‘อย่าโจมตีฉี’ นั้น ก็เป็นทรชนก่อความวุ่นวายเช่นกัน และผู้ที่บอกว่าทั้งผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านการโจมตีนั้น เป็นทรชนด้วยกันทั้งสองฝ่าย ก็เป็นทรชนเช่นกัน”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าควรทำเยี่ยงไร?” เว่ยอิ๋งถาม
“จงค้นหามรรคา เพียงเท่านั้น” ฮว่าจื่อตอบ
เมื่อฮุ่ยจื่อได้ยิน ก็พาไต้จิ้นเหรินมาเฝ้าเว่ยอิ๋ง ไต้จิ้นเหรินกล่าวว่า “มีสัตว์ชนิดหนึ่งเรียกว่าหอยทาก พระองค์รู้จักมันหรือไม่?”
“ย่อมรู้จัก”
“ที่เขาด้านซ้ายของมัน มีแว่นแคว้นชื่อ ‘รุกราน’ และที่เขาด้านขวาของมัน มีแว่นแคว้นชื่อ ‘ป่าเถื่อน’ ทั้งสองแคว้นต่างวิวาทแย่งชิงดินแดนและได้เปิดศึกสู้รบกัน กระทั่งซากศพนับหมื่นเกลื่อนสนามรบ ผู้กำชัยชนะออกตามล่าทหารที่พ่ายแพ้ไปอีกสิบห้าวัน จึงได้กลับคืน”
“อา! ท่านเล่าเรื่องตลกไร้สาระ” เว่ยอิ๋งท้วงขึ้น
“ข้าขอเล่าความจริงสักเรื่อง พระองค์เชื่อหรือไม่ว่าทิศทั้งสี่รวมถึงทิศเบื้องบนและทิศเบื้องล่างนั้นมีขอบเขต”
“ทิศเหล่านี้ล้วนไร้ขอบเขต” เว่ยอิ๋งกล่าว
“และพระองค์ทราบหรือไม่ว่า เมื่อจิตใจท่องไปในความไร้ขอบเขต และหวนกลับมายังดินแดนที่เรารู้จักและสัญจร ดินแดนเหล่านี้ช่างเล็กน้อยเสียจนมิอาจแน่ใจว่ามันมีอยู่หรือหาไม่”
“ใช่” เว่ยอิ๋งตอบรับ
“และบรรดาดินแดนที่เรารู้จักและสัญจรไปนั้นก็มีแคว้นเว่ย ภายในแคว้นเว่ยก็มีเมืองเหลียง และภายใน เหลียงก็มีท่าน ฉะนั้น มีความแตกต่างอย่างไรระหว่างพระองค์กับผู้ปกครองแคว้นป่าเถื่อน”
“หามีไม่” เว่ยอิ๋งตอบ
หลังจากอาคันตุกะอำลาจากไป เว่ยอิ๋งก็นิ่งงันราวกับกำลังหลุดออกจากโลก ฮุ่ยจื่อได้เข้ามาปรากฏกายต่อหน้า เว่ยอิ๋งจึงกล่าวขึ้นว่า “อาคันตุกะผู้นั้นเป็นผู้ทรงคุณธรรมยิ่งใหญ่ แม้นปราชญ์ก็มิอาจเทียบเทียมเขาได้”
ฮุ่ยจื่อกล่าวว่า “เมื่อท่านเป่าขลุ่ย ก็จะเกิดเสียงอันกังวาน เมื่อท่านเป่าลมใส่โกร่งดาบ ก็จะเกิดเสียงลมแผ่วๆ ประชาชนต่างสรรเสริญเทิดทูนเหยาและซุ่น แต่หากท่านสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของเหยาและซุ่นต่อหน้าไต้จิ้นเหริน ก็ไม่ต่างอะไรกับเสียงแผ่วๆเท่านั้น”
แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子)