จีนแย้ง ยังไม่ใช่ชาติการค้าใหญ่โลก ไม่ต้องกดดันอ้างขาด-เกินดุล

เอเยนซี - จีน แย้งข่าวว่า แซงหน้าสหรัฐฯ เป็นชาติการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังมีการเปรียบอ้างข้อมูลบางส่วนของมูลค่าการค้า กับยอดส่งออก เทียบสหรัฐฯ หวั่นสัญญาณกดดันการค้ากับจีนรอบใหม่ ล่าสุด สหรัฐฯ คว่ำบาตร 4 บริษัทจีน อ้างมีเอี่ยวการค้าเทคโนโลยีทหารให้ เกาหลีเหนือ ซีเรีย และอิหร่าน

สื่อต่างประเทศรายงาน (14 ก.พ.) อ้างข้อมูลเศรษฐกิจโลกล่าสุดของสำนักงานศุลกากรจีน เผยว่า มูลค่าการค้าและบริการของจีน ในปี 2555 ทะลุไปถึง 3.87 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้ว ขณะที่มูลค่าการนำเข้าส่งออกของสหรัฐฯ ที่ปรากฏจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ อยู่ที่ 3.82 ล้านล้านดอลลาร์ จนทำให้มีข่าวลือล่วงหน้าว่าจีนแซงหน้าสหรัฐฯ เป็นชาติการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก

รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีน ได้แถลงเกี่ยวกับประเด็นนี้ โดยกล่าวว่า แม้ข้อมูลจะเป็นเช่นนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ยอดการค้านำเข้า-ส่งออกของจีนปีที่แล้ว ก็ยังต่ำกว่าสหรัฐฯ และเป็นการหยิบตัวเลขคนละชุดไปเปรียบเทียบในเรื่องมูลค่าที่สร้างความสับสน

ดิเร็ก ซิสเซอร์ นักวิจัยจาก เอเชีย อีโคโนมิค หน่วยงานของมูลนิธิ เฮริเทจ ในกรุงวอชิงตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจการค้าโลกคนหนึ่ง กล่าวว่า องค์การการค้าโลก จะได้เผยรายงานการค้าประจำปี ในเดือนนี้ ซึ่งจะได้รู้กันว่าใครเป็นอันดับหนึ่ง และว่าการอ้างอิงตัวเลขจากฐานข้อมูลที่ต่างกัน อาจจะทำให้เกิดความสับสนผิดพลาดได้

ซิสเซอร์ เสริมว่า สำหรับข้อมูลของอุตสาหกรรมส่งออกนั้น ผู้ที่ยึดกุมบทบาทของห่วงโซ่อุปทานโลกไว้ได้ จะกุมการค้าทั้งหมด และแม้ว่าจีนจะเป็นเพียงผู้ประกอบชิ้นส่วนสินค้าและส่งออก ก็ย่อมได้ผลประโยชน์ไป แม้จะไม่ใช่สินค้าที่ผลิตได้เองเลย เช่นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งสหรัฐฯ นำเข้าจากจีนจำนวนมาก

ซิสเซอร์ กล่าวว่า ในรายละเอียดของการส่งออกนั้น มูลค่าของสินค้าส่วนใหญ่ของสินค้าชิ้นหนึ่งนั้น (อาทิ โทรศัพท์) อาจจะตกไปอยู่นอกประเทศจีน รวมถึงสหรัฐฯ เพียงแต่ว่า สินค้าโทรศัพท์นั้นก็ถือเป็นสินค้าส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ซึ่งทำให้การคำนวณมูลค่าการค้าจริงๆ ว่าอยู่ที่ใครได้ไป เป็นเรื่องสับสนมาก

เอสวาร์ ปราสาด ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล และเป็นอดีตหัวหน้าฝ่ายจีน ในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า จีนเป็นตลาดที่ใหญ่และโตเร็วสำหรับหุ้นส่วนการค้าอย่างสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลดีให้อุตสาหกรรมส่งออกของสหรัฐฯ โตขึ้นเท่าตัวในรอบห้าปีมานี้

ข้อมูลของศุลกากรจีนระบุว่า มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของจีนในเดือนมกราคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.7 เทียบจากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 3.456 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้กองทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ที่มีกว่า 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ ยังสามารถช่วยฟื้นฟูอุปสงค์ในประเทศจีน และลดการพึ่งพาการส่งออก

เอดเวิร์ด อัลเดิน กรรมาธิการอาวุโส จากคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวว่า ขณะที่จีนนำเข้าสินค้าและบริการจากสหรัฐฯ มากขึ้นๆ และตราบที่จีนยังไม่ปรับฐานการพัฒนาเศรษฐกิจจากพึ่งพาการส่งออกมาอยู่ที่การบริโภคภายในได้ จีนก็ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันการค้าจากสหรัฐฯ และนานาชาติ ซึ่งซิสเซอร์ กล่าวว่า บางทีการยกประเด็นเรื่องขาดดุล-เกินดุล การค้า เป็นเพียงประเด็นทางการเมืองมากกว่าจะพิจารณาจริงๆ ในด้านตัวเลข

สำหรับประเด็น การกดดันการค้ากับจีนรอบใหม่นั้น ล่าสุดเมื่อวันพุธที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้คว่ำบาตร 4 บริษัทจีน (Poly, BST Technology and Trade Co, China Precision Machinery Import and Export Corp และ Dalian Sunny Industries) และนักธุรกิจที่เกี่ยวข้องรายหนึ่ง โดยอ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องการแบ่งถ่ายเทคโนโลยีทางการทหารให้กับเกาหลีเหนือ ซีเรีย และอิหร่าน

ขณะที่ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ จีน เสิ่น ตั้นหยาง เรียกการกระทำนี้ของสหรัฐฯ ว่า กล่าวหาอย่างปราศจากหลักฐานและความรับผิดชอบ โดยชี้ว่า หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ มีพฤติกรรมต่อต้านบริษัทจีน และนักธุรกิจจีน โดยปราศจากเหตุผลหลักฐาน มักจะตามขัดขวางผลประโยชน์ของบริษัทจีน ล้ำเส้นข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ และทำตัวเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการค้าระดับทวิภาคี

ทั้งนี้ ผลของการคว่ำบาตรดังกล่าวทำให้บริษัที่มีชื่อในบัญชีฯ เหล่านี้ ไม่สามารถทำการค้ากับสหรัฐฯ ได้จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2558