สี จิ้นผิง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ในภาพพบปะกับชาวบ้านในอำเภอเจิ้งติ้ง มณฑลเหอเป่ยเมื่อปี 2526 ขณะนั้นเขาดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯ ประจำอำเภอ (ภาพซินหวา)
จีนกำลังถ่ายโอนอำนาจการนำประเทศจากรุ่นการนำที่ 4 สู่การนำรุ่นที่ 5 ซึ่งเริ่มเมื่อเดือนพ.ย.ปีที่ผ่านมา(2555) โดยที่ประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์เต็มคณะครั้งที่ 18 ได้รับรองสี จิ้นผิง เป็นเลขาธิการพรรคฯ แทนที่หู จิ่นเทา และในสัปดาห์นี้ ที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนหรือรัฐสภาก็จะประทับตราให้สี จิ้นผิง เป็นประธานาธิบดี และหลี่เค่อเฉียง เป็นนายกรัฐมนตรี
นับจากสี จิ้นผิงขึ้นเป็นนายใหญ่พรรคฯก็ได้ส่งสัญญาณหลายอย่างที่ดูจะประกาศถึงการเปิดกว้าง หนึ่งในสัญญาณที่น่าสนใจคือ การเปิดเผยชุดภาพชีวิตส่วนตัวผู้นำระดับสูงสุดของพรรคแดนมังกรสู่สาธารณชนชมกันเป็นขวัญตา นับเป็นการทลายกำแพงหินที่แต่ไหนแต่ไรมา ที่ข้อมูลและภาพชีวิตส่วนตัวผู้นำต้องปิดเป็นความลับของชาติ
บรรดานักวิเคราะห์ก็กำลังถกเถียงกันว่า การเผยภาพชีวิตชุดนี้จะเป็นการเริ่มต้นการปฏิรูปในประเด็นเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่แถลงทรัพย์สินส่วนตนและของคนในครอบครัวด้วยหรือไม่
เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา กระบอกเสียงพรรคฯ สำนักข่าวซินหวาได้นำเสนอชุดภาพกลุ่มผู้นำทั้ง 7 ตลอดจนบุคคลสำคัญของพรรคฯ รวมถึงว่าที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และว่าที่นายกฯ หลี่ เค่อเฉียง ชุดภาพเหล่านี้เผยให้เห็นชีวิตการทำงานของพวกเขา ตั้งแต่วันแรกของการทำงานในระดับรากหญ้า หลายภาพเป็นภาพหายากย้อนรอยเล่าชีวประวัติ ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ในครอบครัว
จอห์นนี่ ลอ ยิวซุย นักวิจารณ์และติดตามการเมืองจีน ชี้ว่านโยบายสร้างเสน่ห์ในเชิงรุกนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้ผู้นำจีนมีความเป็น "มนุษย์ธรรมดา" มากขึ้น ทำให้พวกเขาดูติดดินและใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น
"ภาพถ่ายดังกล่าวเผยให้เห็นว่า ผู้นำคนใหม่ต้องการเอาชนะใจและความคิดของประชาชน" ลอ กล่าว
หม่า กัวเซียน นักวิเคราะห์กิจการการเมืองจีนแห่งซั่งไห่ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ ไฟแนนซ์แอนด์อิโคโนมิคส์ เผยว่า เป้าหมายของการเผยชุดภาพดังกล่าวเพื่อวาดภาพผู้นำจีนให้ดูเรียบง่าย ดูเป็นกันเองขึ้น เป็นการลดช่องว่างความรู้สึกห่างไกลระหว่างผู้ปกครองและผู้ใต้ปกครองให้แคบลง
การนำเสนอชุดภาพเหล่านี้เป็นครั้งแรกที่สื่อของรัฐกล่าวถึงสมาชิกครอบครัวของสี จิ้นผิง และหลี่ เค่อเฉียง อันได้แก่ เผิง ลี่หยวน ศรีภรรยาของสี นักร้องเพลงจีนประจำกองทัพปลดแอกฯ และลูกสาว ส่วนของหลี่ เค่อเฉียงก็มีภริยาเฉิง หง ศาสตราจารย์ภาษาอังกฤษแห่งแคปิตัล ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ อิโคโนมิกส์แอนด์บิซีเนส รวมไปถึงภาพลูกสาวของพวกเขา อย่างไรก็ดี รายงานข่าวไม่ได้เสนอภาพที่เผยว่าลูกสาวของท่านผู้นำสูงสุดเรียนอยู่ในสหรัฐอเมริกา อาทิ ลูกสาวของ สี จิ้นผิง เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
หลี่ เค่อเฉียง กับชาวบ้านในมณฑลเหอหนาน (ภาพซินหวา)
กู่ สู นักวิเคราะห์การเมืองและศาสตราจารย์ประจำสถาบันกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งมหาวิทยาลัยหนานจิง ชี้ว่ารายงานข่าวชุดภาพชีวิตผู้นำนี้ออกมาเพื่อระงับอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวของประชาชนต่อกรณีปัญหาฉ้อราษฎร์บังหลวงของเจ้าหน้าที่อภิสิทธิ์ของรัฐบาลจีน
เมื่อปลายปีที่ผ่านมา มีรายงานข่าวแนวขุดคุ้ยสองฉบับ ได้แก่ รายงานทรัพย์สินของครอบครัวสี จิ้นผิงและสมาชิกครอบครัวเผยแพร่โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ส่วนอีกชิ้นเป็นของเดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ รายงานความมั่งคั่งของสมาชิกครอบครัวนายกฯ เวิน จยาเป่า กลายเป็นข่าวใหญ่พาดหัวมหึมาในต่างแดน
นักวิเคราะห์เผยว่าสินทรัพย์ในครอบครองของครอบครัวของผู้นำจีน กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจใคร่ครวญหลังจากมีการรายงานข่าวฯ
ขณะที่นักวิเคราะห์ต่างก็ปรบมือต้อนรับรายงานชีวประวัติและภาพถ่าย มันแสดงถึงความโปร่งใสทางการเมืองที่น่าจะมีมากขึ้น บางคนก็ชี้ไปไกลกว่านั้น บอกว่ามีนัยยะที่จะผลักดันให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนแถลงทรัพย์สินของตนและคนในครอบครัวในอนาคตด้วย
"การเผยภาพเหล่านี้นับว่าเป็นการก้าวไปอีกขั้นของการเปลี่ยนแปลงทัศนคติการปกครองของผู้นำชุดใหม่แดนมังกร ด้านการปฎิรูประบบธรรมาภิบาล อาทิ การเปิดเผยสินทรัพย์ของเจ้าหน้าที่และสมาชิกในครอบครัว เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้และแสดงความรับผิดชอบ" กู่กล่าว
"ผมเชื่อมั่นว่า อย่างน้อย สี จิ้นผิงและหลี่ เค่อเฉียง จะเป็นแบบอย่างสำหรับผู้นำรุ่นน้องต่อไป การบุกเบิกเรื่องเสรีภาพเป็นการปูทางไปสู่การสร้างกลไกให้เจ้าหน้าที่ของรัฐฯ ดำเนินการอย่างโปร่งใส ต้องเปิดเผยทรัพย์สินในครอบครองของตนและครอบครัว"
ขณะที่จอห์นนี่ ลอ ตั้งข้อสงสัยว่า การนำเสนอชุดภาพถ่ายนี้ น่าจะเป็นเพียงการประชาสัมพันธ์และสร้างเสน่ห์ให้กับรัฐบาลมากกว่า
"ผมไม่เห็นว่าการเผยแพร่ภาพเหล่านี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงอะไรในอนาคต อาทิ การเผยทรัพย์สินผู้นำและคนในครอบครัว การปฏิรูปการเมือง หรือการสร้างธรรมาธิบาล การปกครองที่โปร่งใสใด ๆ"
ชมชุดภาพเก่าของผู้นำสูงสุดจีน นาย สี จิ้นผิง ที่สำนักข่าวซินหวา นำเสนอเมื่อปลายปีที่ผ่านมา