xs
xsm
sm
md
lg

วรรณไว พัธโนทัย เล่าเรื่องสัมพันธ์ไทย-จีน ตอนจบ: ประสบการณ์ชีวิตในสังคมจีนยุคที่หาดูที่ไหนไม่ได้ในโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คุณวรรณไว พัธโนทัย บรรยายพิเศษ “ประสบการณ์ชีวิตในจีนช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม” จัดโดยโครงการปริญญาโทวัฒนธรรมจีนศึกษา มธ. คณะศิลปะศาสตร์ มธ. ท่าพระจันทร์ วันที่ 3 ก.พ. 2555
ระหว่างการการบรรยายพิเศษ “ประสบการณ์ชีวิตในจีนช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม” จัดโดยโครงการปริญญาโทวัฒนธรรมจีนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2555 คุณวรรณไว พัธโนทัย ได้เล่าถึงสภาพบ้านเมืองยุคที่พรรคคอมมิวนิสต์ก่อตั้งจีนใหม่ได้ 5 ปี “เป็นโลกที่แตกต่างแบบไม่รู้จะบรรยายอย่างไร เป็นสังคมที่หาดูที่ไหนไม่ได้ในโลก ราวกับยุคพระศรีอาริย์

“ ไม่มีสถานเริงรมย์ สถานยั่วเย้าอารมณ์ อย่างบาร์ไนท์คลับ ไม่มีโสเภณี มีแต่โรงภาพยนตร์ โรงละคร ที่เสนอละครมีสาระทั้งสิ้น เสนอเรื่องราวคนกล้าหาญเสียสละในประวัติศาสตร์

“ส่วนสินค้าในตลาด 90 เปอร์เซนต์ เป็นสินค้าผลิตเองในประเทศ ส่วนสินค้านำเข้าเป็นของที่ผลิตได้ไม่พอความต้องการหรือผลิตไม่ได้ ไม่มีน้ำอัดลมโคคา-โคลา เป็ปซี่

“ประชาชนใส่เสื้อผ้าสีกรมท่าสีขาว เจ้าหน้าที่รัฐก็สวมชุดซุนจงซัน นักศึกษาไม่ต้องสวมเครื่องแบบ ผู้หญิงไม่แต่งหน้าทาปาก...

“ประชาชนมีคุณภาพคับแก้ว คือขยัน ใฝ่เรียนรู้ศึกษา รักชาติ อดทน เชื่อมั่นในผู้นำ ผู้นำสามารถเรียกร้องประชาชนนับล้านในชั่วข้ามคืน และได้รับการตอบสนองอย่างพร้อมเพรียง...ประชาชนมีความกล้าหาญ เสียสละ ให้สิทธิพิเศษแก่คนแก่ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ มีระเบียบอย่างการเข้าแถวซื้อสินค้าหรือใช้บริการต่างๆ ทั้งยังให้เกียรติคนต่างชาติให้ซื้อก่อน นับเป็นความเสียสละอย่างหนึ่ง มีจิตใจสูง

“จีนสมัยนั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก ไม่มีการทำร้ายร่างกายกัน ไม่มีอบายมุข ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินมีสูงมาก ผู้ร้ายขโมยโจรไม่มี เปิดประตูบ้านไว้ก็ไม่เป็นไร”
“การปฏิบัติตัวของผู้นำ  ใช้ชีวิตเรียบง่ายสมถะ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ใช้อำนาจหาประโยชน์ใส่ตัว... ประชาชนจะมีคุณภาพได้ ผู้นำก็ต้องมีคุณภาพสูง เป็นแบบอย่างด้วย” ในภาพ: ผู้นำเหมา เจ๋อตง(ซ้าย) และโจว เอินไหล (ขวา) ผู้นำรุ่นแรกแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ประชาชน มากว่า 20 ปี จนได้ก่อตั้งจีนใหม่ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อปี 2492 (1949) (แฟ้มภาพ เอเจนซี)
คุณวรรณไวได้วิเคราะห์ถึงปัจจัย ที่สร้างสังคมจีนที่ท่านได้เห็นและใช้ชีวิตอยู่ร่วมด้วยนับสิบปี (2499-2509) ได้แก่

1) อำนาจรัฐมาจากการต่อสู้ จากกระบอกปืน พรรคคอมมิวนิสต์นำประชาชนต่อสู่สร้างสังคมใหม่ยาวนานถึง 28 ปี นับจากที่พรรคคอมมิวนิสต์ก่อตั้งในปี 2464 (1921) ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในผู้นำ สายสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและประชาชนแนบแน่น เนื่องจากได้ต่อสู้ร่วมเป็นร่วมตายกันมา

2) ขจัดสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ได้แก่ สถานเริงรมย์ โรงภาพยนตร์ โรงละครเสนอแต่เรื่องราวความรักชาติ ความเสียสละ

3) ที่สำคัญที่สุด คือการศึกษาอบรมประชาชน เข้าโรงเรียนไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน วิชาที่เรียนมีวิชาหน้าที่พลเมือง รักชาติ เสียสละ ประโยชน์ส่วนรวม สอนกันแต่ชั้นอนุบาล

4) การลงโทษ ใช้วิธีการลงโทษโดยให้สังคมเป็นผู้ลงโทษ ไม่ใช้กฎหมาย ความผิดเล็กที่ไม่กระทบความมั่นคงของชาติ ก็ให้สังคมลงโทษด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ในหน่วยงานในสถาบันการศึกษาต่างๆ โดยถือว่าทำให้คนละอายใจดีกว่า ในจีนยุคนั้น จึงมีการประชุมบ่อยมาก จนมีคำกล่าวว่า “พรรคคอมมิวนิสต์ชอบประชุม พรรคก๊กมินตั๋งชอบรีดภาษี”

5) การปฏิบัติตัวของผู้นำ ไม่ทำตัวเป็นเจ้านายเหนือหัวประชาชน ใช้ชีวิตเรียบง่ายสมถะ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ใช้อำนาจหาประโยชน์ใส่ตัว สมัยนั้นคนจีนทุกคนเรียกกันว่า “สหาย” ( 同志) ตั้งแต่สหายเหมา เจ๋อตง สหายโจว เอินไหล ไปถึงประชาชนทั่วไป ล้วนเป็นสหายกัน ประชาชนจะมีคุณภาพได้ ผู้นำก็ต้องมีคุณภาพสูง เป็นแบบอย่างด้วย

คุณวรรณไวยกย่องผู้นำจีน “จากที่ผมศึกษาผู้เหมา เจ๋อตง, โจว เอินไหล, จู เต๋อ, เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำเหล่านี้ไม่ได้จบการศึกษาสูง จบปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยดังอย่างออกซ์ฟอร์ด แคมบริดจ์ ฮาร์ดวาร์ด ทุกคนเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิต การต่อสู้ การปฏิวัติ เสี่ยงตายกันมาเป็นสิบๆปี มีประสบการณ์สูงมากจนสามารถเขียนตำราให้คนชั้นดร.มาศึกษาได้

“ผู้นำยุคนั้นอ่อนน้อมถ่อมตัวไม่โอ้อวด ลูกๆผู้นำที่ยังไม่มีตำแหน่งหน้าที่ ก็นั่งรถประจำทาง ขี่จักรยาน

“ผู้นำมีความอดทนมากเหลือเกิน มักดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป รอเวลาสุกงอม อย่างกรณีไต้หวันสมัยนั้น มีประกาศว่า ‘จีนเตือนไต้หวันครั้งที่ 325 กรณีพิพาทพรมแดนจีน-อินเดีย ทหารฝ่ายตรงข้ามล่วงล้ำเข้ามาหลายครั้ง จีนได้เตือนครั้งที่ 80, ครั้งที่ 81 แล้ว ก็ยังไม่เห็นรบกันเสียที เป็นต้น’

“ผู้นำจีนใจใหญ่และจริงใจ กล้าได้กล้าเสีย เป็นมิตรกับผู้ใดก็เป็นมิตรตลอดไป ตัวอย่างครอบครัวผม ผมไปเมืองจีนได้ราวปีกว่าๆ เมืองไทยเกิดรัฐประหาร จอมพลป.หมดอำนาจไป โดยทั่วไปแล้วในโลกผลประโยชน์ จีนก็ไม่ต้องดูแลผมและน้องต่อไปก็ได้ หมดประโยชน์แล้วเลี้ยงไว้ทำไมเสียข้าวสุก แต่เขาก็เลี้ยงดูมาเรื่อยๆจนเติบโตเข้ามหาวิทยาลัยและเลี้ยงอย่างดีด้วย ไม่ใช่พ่อหมดอำนาจแล้วก็ปล่อยปละละเลย ตอนคุณพ่อผมป่วยเป็นอัมพาต พอผู้นำจีนรู้ก็เชิญไปรักษาตัวที่ปักกิ่ง นี่คือจิตใจของพวกเขา ดูแลพวกเราโดยไม่มีหนังสือสัญญาความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวผมกับจีนเลย
“ระบอบทุนนิยมสร้างความสบายภายนอก จีนตอนนี้เหมือนทุนนิยมทั่วไป คนรวยมีอยู่กระจุกเดียว คนจนมหาศาลเมื่อท้องคนหิวก็อันตราย...” ในภาพ: จีนยุคแรกทศวรรษที่ 1980 ที่ประชาชนจำนวนมากยังยากจน (แฟ้มภาพ เอเจนซี)
คุณวรรณไว ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับสภาพการณ์จีนวันนี้ที่แตกต่างไปจากยุคที่เล่ามาข้างต้น “สำหรับทัศนะของผม ภาพเหล่านั้นหวนกลับมาได้ยากมาก เมื่อท่านเติ้ง เสี่ยวผิง ให้เปิดประเทศ ก็เริ่มมีสิ่งไม่ดีต่างๆเข้ามา วัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา นักวิชาการจีนกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วย เพราะกลัวทุนนิยมอาจฟื้นง่ายๆ แต่ผู้นำจีนที่เชี่ยวชาญเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่งบอกว่าการเปิดประเทศก็เหมือนเปิดหน้าต่างบ้าน ก็ต้องยอมให้แมลงวันแมลงหวี่เข้ามาบ้างตัวสองตัว แต่นี่ไม่ใช่ตัวสองตัวแล้ว เข้ามาเป็นฝูงเลย น่ากลัวมาก จะกลับไปเป็นสังคมที่บริสุทธิ์เหมือนเดิม สงสัยต้องมี ‘จิ่งกังซัน ภาคสอง’ (井冈山革命)คือฐานปฏิบัติการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในการนำประชาชนต่อสู้กับอำนาจรัฐจนได้รับชัยชนะ

“ระบอบทุนนิยมสร้างความสบายภายนอก จีนตอนนี้เหมือนทุนนิยมทั่วไป คนรวยมีอยู่กระจุกเดียว คนจนมหาศาลเมื่อท้องคนหิวก็อันตราย ถ้าปล่อยให้เดินอย่างนี้เรื่อยๆ ปกครองไม่ดีก็ไปได้ง่ายๆ ประชาชนรวมตัวกันเมื่อไหร่ ก็อาจเกิด ‘จิ่งกังซัน ภาคสอง’

“ก็ภาวนาขออย่าให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเลย เพราะเมืองจีนคนเขาเยอะ มีเรื่องทีคนตายมหาศาล"

คลิกอ่าน: วรรณไว พัธโนทัย เล่าเรื่องสัมพันธ์ไทย-จีน ตอนสอง ส่งลูกในไส้ไปเป็นตัวประกันผูกมิตรไมตรีกับจีน

คลิกอ่าน: วรรณไว พัธโนทัย เล่าเรื่องสัมพันธ์ไทย-จีน ตอนหนึ่ง: ยุคขุดบ่อหล่อธารา
กำลังโหลดความคิดเห็น