xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องของคนตัวเล็ก ๆ : บทสะท้อนจาก “ซินถัง”

เผยแพร่:   โดย: สิทธิเทพ เอกสิทธิพงษ์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

กลุ่มผู้ประท้วงนับร้อยรวมตัวอยู่บนถนนในเทศบาลตำบลซินถัง ชานเมืองก่วงโจว เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.2554 (ภาพเอเอฟพี)
เหตุการณ์ประท้วงใหญ่ของแรงงานอพยพใน ซินถัง ชานเมืองกว่างโจว (กวางเจา) เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นับเป็นข่าวครึกโครมสำหรับผู้สนใจความเป็นไปในจีน รายงานข่าวบางชิ้นอธิบายว่าเหตุการณ์เกิดจาก “น้ำผึ้งหยดเดียว” คือการที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทำร้ายร่างกายแรงงานอพยพ เพื่อรีดไถเงิน บ้างก็สรุปว่าเกิดจากการกดขี่แรงงานอพยพจนสุดกลั้น คำอธิบายเหล่านี้ไม่ “ผิด” แต่ก็ไม่ “ถูก” เสียทั้งหมด เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ รอบด้านที่ไม่ได้กล่าวถึง

เราจำเป็นต้องหาคำอธิบายที่ทรงพลัง สำหรับการทำความเข้าใจการประท้วงของแรงงานอพยพในเมือง ด้วยคาดว่าการเคลื่อนไหวประท้วงของแรงงานอพยพในเมืองใหญ่ น่าจะมีอีกหลายครั้ง แต่จะปรากฏเป็นข่าวให้เรารับรู้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง (อย่าลืมว่าสื่ออยู่ในมือรัฐ) เพราะแรงงานอพยพทั่วประเทศจีนมีจำนวนมาก การสำรวจเมื่อปี 2010 ชี้ว่าจนถึงปี 2010 มีแรงงานอพยพทั่วประเทศจีนราว 230 ล้านคน และคาดว่าภายในปี 2012 ตัวเลขจะทะลุหลัก 250 ล้านคน

การประท้วงที่ “ซินถัง” เป็นเพียง “สะเก็ดไฟเล็กๆ” ที่กระเด็นออกจาก “กองเพลิงใหญ่” หากต้องการเข้าใจการประท้วงที่ “ซินถัง” ได้อย่างแจ่มชัด จำต้องเข้าใจ “ปรากฏการณ์แรงงานอพยพ” อันเป็น “กองเพลิงใหญ่” เสียก่อน
แรงงานอพยพบ่ายหน้าหอบข้าวของเข้าเมืองหาเลี้ยงชีพ(ภาพเอเยนซี)
กำเนิดปรากฏการณ์แรงงานอพยพ

นโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศของเติ้ง เสี่ยวผิงซึ่งเริ่มในปลายทศวรรษ 1970 ทำให้เศรษฐกิจจีนพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไพศาลในพื้นที่เมืองและชนบท การเติบโตของเศรษฐกิจภาคเมืองอย่างรวดเร็ว จนถึงขั้นเกิดความต้องการแรงงานราคาถูกจำนวนมหาศาล เพื่อหล่อเลี้ยง การเติบโตของเมืองอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดปรากฏการณ์แรงงานอพยพจากชนบทสู่เมืองเริ่มในปี 1992 กอปรกับในระยะเดียวกัน เศรษฐกิจชนบทเองก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง ด้วยเกิดการผลิตภาคเกษตรแบบเข้มข้นที่ต้องอาศัยทุนเป็นปัจจัยสำคัญมากขึ้น รวมทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม อันเกิดจากการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ทำให้เกษตรกรชนบทจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถปรับตัวเท่าทันกับความเปลี่ยนแปลง สูญเสียทรัพยากรในการผลิต กระทั่งจำต้องหอบผ้า บ่ายหน้าเข้าเมืองใหญ่ เพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว โดยคาดหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น

แรงงานอพยพชาย มักเข้ามาทำงานเป็นช่างก่อสร้างในเมือง ส่วนแรงงานอพยพหญิง ก็มักประกอบอาชีพแรงงานราคาถูกในโรงงาน เช่น เย็บผ้า จากการสำรวจของสื่อหลายสำนักพบว่าแต่ละปีจะมีแรงงานอพยพจากชนบทสู่เมืองราว 13 ล้านคน โดยแรงงานอพยพส่วนใหญ่มาจากมณฑล ซื่อชวน, หูหนัน, เหอหนัน, อันฮุย และเจียงซี และมักบ่ายหน้าอพยพสู่เมืองใหญ่ทางภาคตะวันออก โดยเมืองยอดนิยมได้แก่ ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, เซินเจิ้น และ เมืองชายฝั่งทะเลอื่น ๆ เฉพาะในปักกิ่งคาดว่ามีแรงงานอพยพอย่างน้อยราว 4 ล้านคน

คลื่นมนุษย์ที่อพยพเข้าสู่ภาคเมืองมหาศาลนี้ทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยว่า เมื่อถึงวันหยุดยาวช่วงตรุษจีน จะพบเห็นปรากฏการณ์คลื่นมนุษย์แออัดกันกลับบ้านเกิด จนเกิดปัญหาแย่งชิงตั๋วรถไฟขั้นวิกฤต ประมาณกันว่า ตรุษจีนแต่ละปีจะมีแรงงานอพยพเดินทางกลับบ้านเกิดเป็นจำนวนถึง 130 ล้านคน
บรรดาแรงงานอพยพกำลังรอเดินทางกลับบ้าน(ภาพเอเยนซี)
แรงงานอพยพและความเปลี่ยนแปลงของชนบท

แรงงานอพยพต่างคาดหวังถึงชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อมาเผชิญโชคในเมืองใหญ่ รายได้ส่วนหนึ่งที่หาได้นอกจากจะใช้จ่ายแล้ว ยังถูกแบ่งเป็นการเก็บออมสำหรับลงทุนในอนาคต อีกส่วนหนึ่งก็ถูกส่งไปยังภูมิลำเนา พวกเขาจึงเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทในการเชื่อมต่อเศรษฐกิจภาคเมืองและชนบทในทางอ้อม รวมทั้งก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางเศรษฐกิจ-สังคมของชนบทด้วย เนื่องจากแรงงานอพยพมี 2 ประเภทคือ กลุ่มอพยพถาวรโดยไม่คิดกลับไปบ้านเกิดเลย นอกจากเยี่ยมเป็นครั้งคราว และกลุ่มอพยพชั่วคราวที่หวังว่าจะกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายในบ้านเกิด หากประสบความสำเร็จ ในการสะสมทุนจำนวนหนึ่งจากการทำงานในเมือง

กลุ่มอพยพชั่วคราวมักเข้ามาทำงานในเมืองราว 8 เดือน เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วงก็มักเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อนไปทำการเกษตร โดยอาศัยเงินที่ได้จากการทำงานในเมืองเป็นทุน นอกจากนี้รายได้ที่ถูกส่งไปบำรุงบ้านเกิดในชนบท ยังนำไปสู่การผุดขึ้นของบ้านเรือนทันสมัยที่อุดมไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกในแบบสังคมเมือง เช่น โทรทัศน์ และตู้เย็น หลายรายที่สามารถเก็บเงินพอที่จะทำทุนกิจการเล็กได้ หลังจากเป็นแรงงานอพยพในเมืองใหญ่มาหลายปี ก็มักนำเงินที่ได้ไปลงทุนเปิดกิจการเล็กในบ้านเกิด เช่นร้านขายของชำ พวกเขาจึงมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของชนบทอย่างมาก
(ภาพเอเยนซี)
ข้อจำกัดของแรงงาน และ “เมือง” ซ้อน “เมือง”

ระบบฮู่โค่ว (户口)หรือการลงทะเบียนครัวเรือนของจีน ที่กำหนดสิทธิประโยชน์ที่พลเมืองพึงได้ตามภูมิลำเนาที่ได้ลงทะเบียนไว้ ก่อปัญหาให้กับแรงงานอพยพอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาเป็นคนชนบทที่อพยพสู่เมืองทำให้ไม่มีชื่ออยู่ในระบบ ส่งผลให้ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการที่รัฐจัดสรรให้ ขณะเดียวกันระบบนี้ก็ถูกออกแบบขึ้น เพื่อกันมิให้แรงงานจากชนบทไหลทะลักสู่เมืองมากเกินไป เมื่อไม่มีเอกสารแสดงตนว่าเป็นพลเมืองในเมืองตามที่ระบุในระบบฮู่โค่ว ก็เท่ากับเป็นคนเถื่อน ที่ไม่ได้อยู่อาศัยอย่างถูกต้องตามระบบ แรงงานอพยพก็มักถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองรีดไถได้ง่าย ถึงแม้ปัจจุบันจะมีการผ่อนคลายกฎระเบียบบ้าง แต่ก็ยังขาดการปฏิรูประบบอย่างแท้จริง ทำให้แรงงานอพยพยังเผชิญปัญหาอยู่

การที่ต้องเผชิญกับปัญหานานัปการในเขตเมือง อาทิ ค่าครองชีพแพง ที่อยู่อาศัย และการกดขี่ว่าเป็น “พลเมืองชั้นสอง” ทำให้แรงงานอพยพเลือกที่จะอาศัยอยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน จนทำให้เกิด “เมือง” ซ้อน “เมือง” หรือ ชุมชนของแรงงานอพยพขนาดใหญ่ขึ้นในพื้นที่ส่วนหนึ่งของเมือง (แบบเดียวกับไชน่าทาวน์ที่ผุดตามเมืองต่าง ๆ ในต่างประเทศ ต่างแค่ในที่นี้เป็นชุมชนแรงงานอพยพชาวจีนในประเทศจีน) การอาศัยอยู่ในชุมชนที่ทำให้เกิดการพึ่งพา และพบเห็นซึ่งกันและกัน กระทั่งนำมาสู่การจัดสร้างสวัสดิการเพื่อเลี้ยงคนในชุมชนด้วยตัวเอง

ด้วยพื้นที่อันจำกัด ผมขอจบบทความเพียงเท่านี้ ส่วนคราวหน้าจะเป็นการลงลึกถึง “ชีวิต ความคาดหวัง และสำนึกร่วมของแรงงานอพยพในเขตเมือง”
(ภาพเอเยนซี)
กำลังโหลดความคิดเห็น