xs
xsm
sm
md
lg

เผย ผู้ป่วยเอดส์ สุดชอกช้ำ เมื่อถูกโรงพยาบาลจีนหมางเมิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แฟ้มภาพเมื่อปี 2550 เหล่าเด็กนักเรียนอนุบาลในเมืองเหอเฝย มณฑลอันฮุย กำลังชูสัญลักษณ์โบว์แดงระหว่างร่วมกิจกรรมให้ความรู้เรื่องโรคเอดส์ (ภาพไชน่า เดลี)
ไชน่า เดลี - ผลสำรวจจากองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ไอแอลโอ ระบุ โรงพยาบาลในจีน มักปฏิเสธที่จะรักษาผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี เนื่องจากหวั่นเกรงการติดเชื้อจากโรคดังกล่าว

องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ หรือไอแอลโอ ซึ่งเป็นหน่วยงานในเครือขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แห่งชาติ ได้ร่วมกันทำการสำรวจโดยสัมภาษณ์ผู้ติดเชื้อเอดส์ 103 คน และบุคลากรจากโรงพยาบาลต่างๆ 23 คน จาก 5 มณฑล พบว่า 12.1 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อเอชไอวี เคยถูกโรงพยาบาลปฏิเสธที่จะให้การรักษาทางการแพทย์มาแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง

รายงานข่าวระบุว่า โรงพยาบาลในจีนปฏิเสธที่จะให้การรักษาผู้ติดเชื้อเอดส์ หรือไม่ก็ส่งบุคคลดังกล่าวไปให้โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านการรักษาโรคติดเชื้อ โดยอ้างว่า ต้องการป้องกันการติดเชื้อสู่คนไข้รายอื่น หรือ อ้างว่าทางโรงพยาบาลขาดเครื่องมือที่จะรักษา

แอน เฮอร์เบิร์ท ผู้อำนวยการองค์กรแรงงานระหว่างประเทศประจำจีนและมองโกเลียใน เผยว่า “การตีตราผู้อื่น และการเลือกปฏิบัติในระบบการรักษาพยาบาล เป็นสิ่งที่ย่ำแย่กว่าโรคเอดส์เสียอีก”

เมิ่ง หลิน ผู้ประสานงานของเลขาธิการองค์กรผู้ติดเชื้อเอชไอวีจีน เผยว่า “การปฏิเสธการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการป่วยให้กับผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ เป็นหนึ่งในแรงกดดันหนักสุดที่กลุ่มคนดังกล่าวต้องเผชิญ และแม้การรักษาโรคที่ไม่ได้ยากเย็นนัก อาทิ โรคริดสีดวงทวาร หรือการทำความสะอาดและเย็บบาดแผล พวกเขาก็ยังถูกปฏิเสธ”

เมิ่ง กล่าวเสริมว่า “บางครั้ง โรงพยาบาลหลายแห่ง ก็พยายามปกปิดเหตุผลที่ไม่รักษาผู้ติดเชื้อเอดส์ หรือ อาจยอมรักษาผู้ติดเชื้อฯ เพื่ออาศัยการรายงานข่าวของสื่อ สร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นช่องทางในการคิดค่ารักษาที่เกินจริง ขณะที่ โรงพยาบาลทั่วไปมักใช้โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านการรักษาโรคติดเชื้อ เป็นข้ออ้างในการปฏิเสธที่จะรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี”

ผู้ติดเชื้อเอชไอวีคนหนึ่ง ซึ่งไม่เผยนาม กล่าวว่า “โรงพยาบาลในเทียนจินและปักกิ่งปฏิเสธที่จะรักษาอาการปวดหลังของผม มีหมอคนหนึ่ง บอกว่า ไม่สามารถทำการผ่าตัดให้ผมได้ เพราะเกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นติดเชื้อ ขณะที่ โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง หมอบอกผมว่า หมอรู้สึกเห็นใจกับอาการป่วยของผม แต่เนื่องจาก คุณติดเชื้อเอชไอวี หมอจึงไม่กล้าผ่าตัด!”

ผู้ติดเชื้อเอชไอวีอีกราย กล่าวเสริมว่า “ผมตกงานทันทีที่ เจ้านายรู้ว่าผมเป็นเอดส์ และผมได้ไปโรงพยาบาลมาแล้วหลายแห่ง ฟังข้ออ้างทุกรูปแบบที่จะไม่รักษาผม โดยส่วนใหญ่อ้างว่า ขาดเครื่องมือในการรักษา”

ขณะที่ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจากมณฑลเหอเป่ย เล่าว่า “ผมถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลทันทีที่ทางโรงพยาบาลรู้ว่า ผมเป็นเอดส์ ซึ่งเกิดจากการถ่ายเลือด และต่อมาผมได้กลับไปถามถึงเหตุผล พวกเขาตอบว่า หากคนอื่นรู้ว่า โรงพยาบาลในชนบทแห่งนี้ รักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้คนก็จะไม่มาใช้บริการ อันจะทำให้โรงพยาบาลสูญเสียรายได้”

หวัง หนิง ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเอดส์ฯ กล่าวว่า “ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ควรยื่นคำร้องต่อสำนักงานสาธารณสุขท้องถิ่น หากถูกปฏิเสธการรักษาหรือเลือกปฏิบัติ”

ขณะที่ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในกรุงปักกิ่ง เผยว่า “ผู้ติดเชื้อเอดส์ส่วนใหญ่ไม่กล้ายื่นคำร้องฯ เพราะกลัวว่าสังคมจะรับรู้และจะทำให้ถูกกีดกันแบ่งแยก”

จัง เค่อ ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนกโรคติดเชื้อของโรงพยาบาลเป่ยจิงโหยวอาน เผยว่า “นโยบายที่กำหนดให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านการรักษาโรคติดเชื้อ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติ”

ริชาร์ด ฮาวเวิร์ด ที่ปรึกษาระดับสูงด้านโรคเอดส์ของไอแอลโอ กล่าวว่า “หลายประเทศแถบเอเชีย เผชิญปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอดส์ เช่นเดียวกัน”

ทั้งนี้ ในปี 2548 จีนได้เริ่มใช้ระเบียบข้อบังคับการรับประกันสิทธิ์ในการรับการรักษาของผู้ป่วยเอชไอวี โดยในปี 2553 คณะมุขมนตรีจีนได้ออกระเบียบฯเพิ่ม เพื่อแก้ปัญหาการเลือกปฏิบัติฯ

ข้อมูลสถิติจากกระทรวงสาธารณสุขจีน ระบุ ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ชาวจีน932คน เสียชีวิตจากการติดเชื้อเอชไอวี

ขณะที่ ข้อมูลตัวเลขคาดการณ์ในปี 2553 ที่เผยร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารนสุขจีนและองค์การอนามัยโลก หรือ ดับเบิลยูเอชโอ ระบุ ประเทศจีนมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี 740,000 คน โดยปี 2552 เพียงปีเดียว มีผู้ติดเชื้อเอดส์ 105,000 คน
กำลังโหลดความคิดเห็น