เอเอฟพี - นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย นางจูเลีย กิลลาร์ด พบปะนายกรัฐมนตรีจีน นายเวิน จยาเป่า เมื่อวันอังคาร (26 เม.ย.) ในการนี้นายกหญิงออสเตรเลียได้พูดคุยเรื่องสิทธิมนุษยชนและการค้ากับจีน โดยตกลงทำธุรกิจแร่เหล็กมูลค่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จีนเป็นคู่ค้าระดับท็อปของออสเตรเลีย โดยการเยือนครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกของนายกกิลลาร์ดด้วย
นางกิลลาร์ด ปราศรัยกับผู้สื่อข่าวว่า “ทั้งชาวออสเตรเลียและเราได้แสดงความห่วงใยต่อกรณีที่จีนปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยด้วยการใช้กำลัง บีบบังคับเรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนา และรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในปัจจุบัน”
ขณะที่นายกเวินชี้ว่า สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในจีนไม่ได้ถอยหลังลงคลองอย่างที่นายกหญิงฯกล่าว
อย่างไรก็ตามนางกิลลาร์ดได้เข้าพบประธานาธิบดีหู จิ่นเทาในวันพุธ (27 เม.ย.) ซึ่งจะถือเป็นวันสิ้นสุดการเยือนประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ
ก่อนหน้านี้ นางกิลลาร์ด ได้เคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในจีนมาบ้างแล้ว เนื่องจาก จีนไม่ยอมให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ดังนั้นหากมีความเห็นที่แตกต่างหรือการชุมนุมเคลื่อนไหวใด ๆ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง จีนจะกวาดจับและใช้กำลังหากจำเป็น เพื่อมิให้เกิดภาวะสั่นคลอนภายในประเทศดังที่เกิดขึ้นมาแล้วเฉกเช่นการปฏิวัติดอกมะลิในโลกอาหรับ
นางกิลลาร์ดยกประเด็นชาวออสเตรเลียนสองคนที่ถูกจองจำอยู่ในจีนด้วย นั่นคือ สเติร์น หู และ แมทธิว เอ็นจี โดยหูเป็น 1 ใน 4 ของพนักงานที่ถูกจำคุกในข้อหาล้วงความลับและติดสินบน ขณะที่เอ็นจีนเป็นผู้บริหารฝ่ายบริการการท่องเที่ยวถูกจำคุกเมื่อปีที่ผ่านมาในข้อหายักยอกเงิน การเกิดเหตุดังกล่าวส่งผลให้เกิดความหวาดกลัวในบรรดาชาติที่เบนเข็มมาลงทุนในจีน
อย่างไรก็ตามการค้าทวิภาคีระหว่างออสเตรเลียและจีนมีมูลค่าสูงถึง 50,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี โดยที่ประเด็นการค้าได้เป็นประเด็นหลักในการพบปะครั้งนี้ด้วย
นางกิลลาร์ด ชี้ว่า สัมพันธ์เศรษฐกิจจีน-ออสซี่ กำลังก่อรูปที่ดี และการค้าทั้งสองก็กำลังก้าวกระโดด
ผลสำรวจเมื่อวันจันทร์(25 เม.ย.) เผยว่า ชาวออสเตรเลียนกว่า 75 เปอร์เซ็นต์เห็นการขยายตัวเศรษฐกิจจีนว่าเป็นผลดีต่อออสเตรเลีย ขณะที่ 57 เปอร์เซ็นต์มองว่า มีแต่จีนมาลงทุนที่ออสเตรเลียและทำให้ออสเตรเลียเสียเปรียบ
ผลสำรวจโดยสถาบันโลวี ซึ่งเป็นสถาบันด้านนโยบายต่างประเทศระบุว่า ร้อยละ 58 มองว่าออสเตรเลียยังกดดันจีนเรื่องสิทธิมนุษยชนไม่เพียงพอ ซึ่งถือว่าลดลงกว่าก่อนหน้า ที่ผลสำรวจระบุว่าอยู่ที่ร้อยละ 66