รอยเตอร์--ธนาคารกลางประชาชนแห่งจีน หรือธนาคารกลาง ประกาศเพิ่มอัตราเงินสดสำรองธนาคารในวานนี้(17 เม.ย.) โดยจะมีผลบังคับใช้วันพฤหัสฯ(21 เม.ย.) นับเป็นการปรับเพิ่มฯครั้งที่สี่ในปีนี้ เพื่อต่อกรกับสภาพคล่องที่ล้นเกิน และภาวะเงินเฟ้อที่ทะยานสูงฉุดรั้งไม่อยู่เสียที
ขณะนี้กลุ่มผู้นำจีนซึ่งกุมชะตาเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับสองของโลก กำลังวิตกหนัก หลังจากประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค หรือซีพีไอ ประจำเดือนมี.ค. อยู่ที่ 5.4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นระดับที่สูงเกินเป้าที่รัฐบาลกำหนด
สถานการณ์เงินเฟ้อและราคาในจีนร้อนระอุจากช่วงปลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลเร่งระดมเครื่องมือทางการเงินทั้งการขึ้นดอกเบี้ย และขยายเพดานอัตราเงินสดสำรองของธนาคาร โดยการขึ้นอัตราเงินสดสำรองครั้งล่าสุดนี้ เป็นครั้งที่ 7 นับจากเดือนต.ค. และจีนได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 5 เม.ย. ซึ่งนับเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่สี่จากเดือนต.ค. นอกจากนี้ยังออกมาตรการควบคุมราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ตลอดจนสกัดกั้นการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็ยังมิอาจลดแรงกดดันราคาที่ถูกดันขึ้นๆจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก ขณะที่สภาพคล่องล้นเกินยังคงเขย่าเศรษฐกิจจีนอย่างน่ากลัว
การปรับเพิ่มอัตราเงินสดสำรอง อีก 50 จุด ในครั้งนี้ จะดันอัตราเงินสดสำรองที่กลุ่มธนาคารรายใหญ่ของประเทศ ต้องกันไว้ที่ธนาคารกลาง สูงเป็นประวัติการณ์ ถึง 20.5 เปอร์เซนต์ ด้วยเพดานอัตราเงินสดสำรองนี้ทำให้ปริมาณเงินสดที่กลุ่มธนาคารรายใหญ่ต้องนำไปเก็บสำรองไว้ที่ธนาคารกลาง รวมกันราว 350,000 ล้านหยวน ป้องกันมิให้นำออกไปปล่อยกู้
ทั้งนี้ ยอดปล่อยกู้ของธนาคารเดือนมี.ค. เท่ากับ 679,400 ล้านหยวน (หรือ 104,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ขณะที่ปริมาณเงิน M2 สูง 16.6 เปอร์เซนต์ จากปีก่อนหน้า โดยตัวเลขทั้งสองนี้ สูงเกินความคาดหมายของตลาด
ในวันเสาร์(15 เม.ย.) ผู้ว่าธนาคารกลาง นาย โจว เสี่ยวชวน แถลงในที่ประชุมข่าวนอกรอบการประชุมอั๋วเอ๋า เอเชีย ฟอรัม ที่ไห่โข่ว มณฑลไห่หนัน (ไหหลำ) ว่าจีนจะดำเนินนโยบายการเงินแบบระมัดระวังไปอีกระยะหนึ่ง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรี เวิน จยาเป่าได้ส่งสัญญาณจุดยืนแบบสายเหยี่ยว กล่าวว่ารัฐบาลจะใช้เครื่องมือทุกอย่างเพื่อกำหราบเงินเฟ้อลงให้ได้.