เอเจนซี-กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟแถลงในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกประจำปี 2554 เมื่อวันจันทร์(11 เม.ย.) ชี้ค่าเงินหยวนของจีน มีค่าอ่อนกว่าความเป็นจริงอย่างเป็นแก่นสาร นอกจากนี้ยังเตือนว่าค่าเงินเฟ้อจีนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก อาจทะลุเป้า 5 เปอร์เซนต์ในปีนี้ (2554)
ไอเอ็มเอฟยักษ์ใหญ่ผู้ปล่อยกู้แห่งกรุงวอชิงตัน ยังแสดงความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มของ “การปรับตัวอย่างผกผัน” ในภาคราคาอสังหาริมทรัพย์แดนมังกร ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำจีนเป็นห่วงมากที่สุด อีกทั้งสถานการณ์การปล่อยสินเชื่อที่ดูเหมือนจะบานปลาย เนื่องจากกลุ่มธนาคารดูไม่ใส่ใจมาตรการยับยั้งการปล่อยกู้ของรัฐบาล
“ค่าเงินจีนยังอ่อนค่ากว่าเกณฑ์พื้นฐานระดับกลาง ซึ่งทำให้นานาชาติยังคงเรียกร้องการปรับค่าเงินให้ยืดหยุ่นกว่านี้อีกต่อไป” รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก(2011 World Economic Outlook) โดยไอเอ็มเอฟ ระบุ พร้อมกับชี้ถึงแนวทางแก้ไขว่า การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย และปรับค่าเงินให้แข็งค่าขึ้น จะช่วยให้ชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างจีน รอดพ้นจากสภาพการเติบโตที่ร้อนเกิน และแก้ไขความไม่สมดุลในการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจมั่นคงขึ้น
รายงานของไอเอ็มยังระบุอีกว่า “ประเทศต่างๆมักปฏิเสธการปรับอัตราแลกเปลี่ยน ที่มักจะตามมาด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและกระแสเงินทุนหลั่งไหลเข้ามามากขึ้น
“แต่การปรับค่าเงินแข็งค่าขึ้นจะช่วยดันรายได้ที่แท้จริงสูงขึ้น ซึ่งเป็นการปรับตัวที่น่าจะเป็น”
ในช่วงหลายปีมานี้ จีนเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติ ให้ปรับค่าเงิยหยวนแข็งค่าขึ้น โดยมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าค่าเงินเหรินเหมินปี้ของจีนนั้นต่ำค่ามากๆ และทำให้สินค้าส่งออกของจีนมีราคาถูกมากจนทะลักท่วมตลาดต่างแดน
ไอเอ็มเอฟยังเตือนสถานการณ์เงินเฟ้อของจีนปีนี้ ก็ส่อเค้าทะยานสูงถึง 5 เปอร์เซนต์ เทียบกับ 3.3 เปอร์เซนต์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ระดับ 4 เปอร์เซนต์ โดยขณะนี้แรงกดดันด้านราคายิ่งขยายวงจากภาคอาหารไปถึงภาคอื่นๆ รวมทั้งราคาบ้าน
ไอเอ็มเอฟคาดการณ์อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีจีนปีนี้(2554) จะขยายตัว 9.6 เปอร์เซนต์ สอดคล้องกับการประเมินของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี โดยเป็นระดับที่สูงกว่าเป้าที่รัฐบาลกำหนดที่ระดับ 8 เปอร์เซนต์ โดยมีปัจจัยขับดันอัตราเติบโตจากความต้องการภายในมากขึ้น
ทั้งนี้ อัตราเติบโตฯจีนปี 2553 ขยายตัวที่ 10.3 เปอร์เซนต์
ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่คุกรุ่นนี้ นายกรัฐมนตรีเวิน จยาเป่าได้แถลงในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จะหยุดยั้งภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นการให้คำมั่นก่อนการแถลงตัวเลขเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ ซึ่งส่อเค้าว่าดัชนีราคาผู้บริโภคหรือซีพีไอประจำเดือนมี.ค. จะสูงมากกว่า 5 เปอร์เซนต์ปีต่อปี และจีดีพีประจำไตรมาสแรก จะขยายตัวราว 9.5 เปอร์เซนต์
กลุ่มผู้นำจีนซึ่งปริวิตกเรื่องความมั่นคง พยายามฉุดรั้งเงินเฟ้อ ซึ่งเคยเป็นเหตุก่อความวุ่นวายภายในประเทศซึ่งมีประชากรมากถึง 1,300 ล้านคน ในช่วงที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาน้ำมันโลกยิ่งดันราคาสินค้าภายในประเทศแพงขึ้น โดยนับจากเดือนต.ค.ที่ผ่านมา จีนได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว 4 ครั้ง ทั้งได้เพิ่มอัตราเงินสดสำรองของธนาคารเพื่อควบคุมการปล่อยกู้ แต่ไอเอ็มเอฟชี้ว่ากลุ่มธนาคารในจีนกลับสร้าง “นวัตกรรมการเงิน และกิจกรรมนอกงบดุล” กันคึกคัก ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อมาตรการปราบเงินเฟ้อของรัฐบาล.