เอเจนซี - คณะกรรมการทางประวัติศาสตร์จีน- ญี่ปุ่น เผยว่า ญี่ปุ่นยอมรับว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นบุกทำลายสร้างความเสียหายกับประเทศจีนมหาศาล โดยเฉพาะในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่นานกิง แต่ทั้งสองฝ่ายยังตกลงกันไม่ได้ถึงจำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริง
การสังหารหมู่เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เลวร้ายสุดในช่วงสงครามที่ญี่ปุ่นบุกจีนในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ซึ่งจีนอ้างว่าชาวจีนล้มตายไปมากถึง 3 แสนคน ขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่นเชื่อว่ายอดผู้เสียชีวิตมีน้อยกว่านั้น
คณะกรรมการประวัติศาสตร์ร่วมระหว่างจีนและญี่ปุ่นซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ได้เผยรายงานเมื่อวันจันทร์ (31 ม.ค.) ว่า “นักวิชาการฝั่งญี่ปุ่นยอมรับว่า ทองกัพอันเกรียงไกรของญี่ปุ่นได้สังหารเชลยสงคราม ทหาร และพลเมืองในเมืองนานกิง (หนานจิง) ในเดือนธ.ค. พ.ศ.2480 พร้อมทั้งขืนใจ วางเพลิงและปล้นทรัพย์”
กระนั้นทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่บรรลุข้อตกลงเรื่องจำนวนผู้เสียชีวิต
ฝ่ายญี่ปุ่นระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตน่าจะอยู่ระหว่าง 2 หมื่น - 2 แสน คน โดยญี่ปุ่นอ้างข้อมูลหลักฐานคนละชุดกับจีน ขณะที่จีนอ้างข้อมูลจากศาลภายในและศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่รวบรวมคดีความ พร้อมจำนวนผู้ตายไว้กว่า 3 แสนคน
โดยรายงานฯ อ้างจำนวนเหยื่อที่เสียชีวิตจากความกระหายสงครามของญี่ปุ่นที่เป็นคดีความ ซึ่งรวมทั้งผู้ที่ถูกสังหารแบบใช้แก๊สพิษหรือแบบธรรมดา ตลอดจนการบังคับขืนใจให้สตรีตอบสนองทางเพศแก่ทหารในฐานะแรงงานทาสด้วย
ในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ญี่ปุ่นบุกสร้างอาณานิคมไปทั่วเอเชีย ชาวจีนจำนวนมากเชื่อว่า ญี่ปุ่นไม่ได้แสดงความสำนึกผิดอย่างเพียงพอกับความโหดเหี้ยมที่ตนเองก่อไว้ ความรู้สึกไม่พอใจนี้ถูกจุดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะหลังจากที่ ส.ว.อนุรักษ์นิยมของญี่ปุ่นออกมาปกป้องปฏิบัติการของทหารญี่ปุ่นช่วงสงครามฯ
ทั้งนี้ พวกอนุรักษ์นิยมสุดขั้วของญี่ปุ่นอ้างว่า จำนวนผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่นานกิงนั้นถูกปั่นให้มากเกินจริง
อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นและจีนตกลงกันว่า สงครามจีน-ญี่ปุ่น ในช่วงปี 2480- 2488 ถือเป็นการแสดงความก้าวร้าวของญี่ปุ่น
ซูมิโอะ ฮาทาโนะ ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยสึคุบะ เป็น 1 ใน 10 คนของนักประวัติศาสตร์ที่ร่วมชำระตัวเลขนี้ กล่าวว่า “สิ่งที่ทหารญี่ปุ่นทำได้สร้างความเจ็บปวดอย่างหนักต่อประชาชนพลเมืองจีน สร้างรอยแผลเป็นร้าวลึกในใจให้แก่ชาวจีนจำนวนมาก และแม้สงครามจะสิ้นสุดแล้ว ความเกลียดชังก็ยังไม่หมดไป”
นายคัตสึยะ โอกาดะ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นยอมรับรายงานฉบับนี้ แม้ว่าผลจะออกมาล่าช้าและไม่ลงตัว เขากล่าวว่า นี่เป็นเพียงก้าวแรก และจะเสนอให้มีการหารือในรอบถัดไป “หากสองฝ่ายมีความเข้าใจกันมากขึ้นเพียงเล็กน้อย เราก็พูดได้ว่า สำเร็จแล้ว”