xs
xsm
sm
md
lg

ศึกชิงสมบัติ สแตนลีย์ โฮ เจ้าพ่อกาสิโนแห่งมาเก๊า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แฟ้มภาพ – ภาพถ่ายเมื่อ 20 พ.ย. 2553 สแตนลีย์ โฮ (กลาง) ถ่ายภาพกับครอบครัว โดยในช่วง 26-27 ม.ค. นี้โฮตัดสินใจฟ้องร้องสมาชิกครอบครัวตนเองฐานฉ้อโกงหุ้นส่วนในบริษัทของตน (ภาพเอเอฟพี)
เอเยนซี - สแตนลีย์ โฮ หรือ เหอ หงเซิน ราชาธุรกิจบ่อนกาสิโนแห่งเอเชีย วัย 89 ปี ได้ตัดสินใจฟ้องลูก ๆ 5 คน ภรรยาคนที่ 3 และผู้ช่วยอีก 1 คนว่าโกงหุ้นส่วนในบริษัทของเขา แต่เมื่อ 26 ม.ค. นี้ โฮกลับให้สัมภาษณ์ว่า ยกเลิกการฟ้องร้องดังกล่าว แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง เหตุการณ์พลิกผัน โฮกลับตัดสินใจดำเนินการฟ้องร้องต่อไป

สแตนลีย์ โฮ อภิมหาเศรษฐีธุรกิจกาสิโน มาเก๊า สร้างอาณาจักรธุรกิจของเขาด้วยหลายวิธี แม้กระทั่งลักลอบนำเข้าสินค้าหรูผ่านพรมแดนจีนสู่มาเก๊าระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เรียกได้ว่าเขาคว้าทุก ๆ โอกาสที่ผ่านเข้ามา กิจการของเขามีตั้งแต่บริษัทค้าทอง ของเล่น เหล็ก เครื่องบิน เคมีภัณฑ์และธุรกิจเดินเรือ พร้อมกันนี้ก็ดำเนินธุรกิจซื้อขายที่ดินในฮ่องกงไปด้วยก่อนที่จะได้รับสัมปทานผูกขาดกิจการบ่อนการพนันในมาเก๊า ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลโปรตุเกสที่เข้าครอบครองเกาะมาเก๊าในปี 2505

นอกจากนี้โฮยังมีสนามม้า และกิจการคาบาเรต์โชว์ จนสามารถสร้างชื่อเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและประสบความสำเร็จกลายเป็นบุคคลที่รวยสุดแห่งเอเชีย โฮมีภรรยา 4 คน และมีบุตรธิดา 17 คน

เรื่องราวปัญหาของโฮกับครอบครัวเริ่มตั้งแต่ ก.ค. 2552โดยโฮได้ประสบอุบัติเหตุล้มศีรษะฟาดพื้น เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลา 5 วัน แพทย์ต้องผ่าตัดสมองดึงลิ่มเลือดออกจากสมอง และต่อมา สมาชิกครอบครัวก็บอกว่าโฮอาการดีขึ้นเป็นลำดับ แต่จากนั้นโฮกลับปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนเพียงสองครั้งเท่านั้น

ต่อมา (พ.ย. 2552) บริษัทแลนซ์ฟอร์ด ซึ่งเป็นบริษัทรายได้หลักของโฮ ถือหุ้นโดย โฮ ภรรยาคนรอง และผู้ช่วยของโฮ ก็มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้น โดยเพิ่มลูกสาวแพนซีและเดซีเข้ามาร่วมถือหุ้นด้วยภายใต้ลายเซ็นอนุมัติของนางลาม (ภรรยาคนรอง)

กระทั่งเดือน ธ.ค. 2552 โฮปรากฎตัวท่ามกลางสาธารณชนครั้งแรกหลังอาการป่วย ในพิธีเฉลิมฉลองมาเก๊าครั้งที่ 10 ซึ่งเขาได้พบประธานาธิบดีหู จิ่นเทาด้วย

เมื่อปลายปีที่ผ่านมานี้ บริษัท Shun Tak ซึ่งเป็นบริษัทขนส่ง และการลงทุนทั่วไป ชี้แจงว่า โฮได้โยกย้ายสัดส่วนการถือหุ้นของตน 11.55 เปอร์เซ็นต์ มูลค่า 1,270ล้านดอลลาร์ฮ่องกงขณะนั้น ให้แก่ ฮานิกา เรียลตี้ บริษัทที่ดูแลโดยนางลาม และลูก ๆ อีก 5 คน และจากนั้นอีกไม่นาน โฮ ก็ได้โยกย้ายสัดส่วนผู้ถือหุ้นอีก 7 เปอร์เซ็นต์ในบริษัทเอสเจเอ็มโฮลดิ้ง มูลค่า ประมาณ 4,800 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง แก่นางแองเจลา ภรรยาคนที่ 4

จนกระทั่ง 23 ธ.ค. การบริหารงานทุกอย่างในบริษัทแลนซ์ฟอร์ดของโฮ ก็เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด ทั้งเลขาผู้ประสานงาน เวลาประชุม หรือแม้แต่บริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมาย

ต่อมาไม่นานโฮก็ยอมก้าวลงจาก บริษัทเอสเจเอ็ม ซึ่งเป็นอีกบริษัทอีกแห่งที่โฮเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และนางแองเจลาก็ขึ้นมาเป็นผู้บริหารแทน

กอร์ดอน โอลด์แฮม นักกฎหมายของโฮ ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า “เช้าวันหนึ่ง โฮนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในคอลัมน์จัดอันดับเศรษฐี ซึ่งมีชื่อของเขาติดอันดับ 13 ของมหาเศรษฐีโลก ตามการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส และได้ประมาณทรัพย์สินของเขาอยู่ที่ 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ทันทีที่เขาเห็นตัวเลขนี้ก็โกรธเกรี้ยวอย่างหนัก”

“ความจริงแล้ว ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว โฮ พบว่าเขาได้สูญเสียทรัพย์สินไปมหาศาล ความขัดแย้งนี้จึงมิอาจหลีกเลี่ยง”

โอลด์แฮม กล่าวต่อว่า “เหตุที่โฮโกรธ หลังจากอ่านหนังสือพิมพ์ ก็เพราะมีคนรายงานว่าจริง ๆ แล้วเขาเหลือทรัพย์สินเพียง600 ล้านดอลลาร์ เท่านั้น”
ภาพถ่าย 26 ม.ค. 2554 สแตนลีย์ โฮ (กลาง) ถ่ายภาพกับนางชาน ภรรยา (ขวา) และฟลอริดา ลูกสาว (ซ้าย) โดยวันที่ 26 โฮตัดสินใจไม่ฟ้องร้อง แต่พอวันที่ 27 กลับตัดสินใจดำเนินการฟ้องร้องต่อไป (ภาพเอเอฟพี)
27 ธ.ค. เมื่อโฮลองสำรวจรายการผู้ถือหุ้น พบว่า ภรรยาคนที่ 3 อีนา ชาน กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดรายเดียวของแลนซ์ฟอร์ด สูงถึง 50.5 เปอร์เซ็นต์ และอีก 49.5 เปอร์เซ็นต์เป็นของบริษัทรานิลโล อินเวสเมนต์ ซึ่งลูกของนางลามภรรยาคนที่สอง จำนวน 5 คน ถือหุ้นคนละ 20 เปอร์เซ็นต์ ได้แก่ แพนซี เดซี เมซี ลอว์เรนซ์ และโจซี

เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ม.ค. โฮได้เขียนจดหมายไปหาเดซี กล่าวว่า “สิ่งที่พวกเธอทำไปปราศจากความเห็นชอบของฉัน” โดยจดหมายของโฮ มีคำสั่งให้เดซีรายงานหลักฐานการถือหุ้นบริษัทเอสทีดีเอ็ม ให้โฮทราบ เพื่อแบ่งหุ้นส่วนของโฮในเอสทีดีเอ็มทั้งหมดอย่างเท่าเทียมกัน

ย่างเข้าสู่เช้าวันที่ 7 ม.ค. โฮเริ่มติดต่อสื่อมวลชน โดยให้นักกฎหมายโอลด์แฮมโทรศัพท์นัดหมายสื่อเพื่อให้สัมภาษณ์ โดยก่อนเวลาบ่าย ประตูบ้านของโฮ ซึ่งอยู่บนถนนรีพัลส์ เบย์ ก็เปิดออก ต้อนรับนักข่าวให้เข้าไปสัมภาษณ์

นักข่าวก็มาหยุดอยู่ที่ผู้รักษาความปลอดภัยและได้รับบอกจากผู้ต้อนรับว่า โฮกำลังนอนพักช่วงหลังอาหารกลางวัน และแล้วปัญหาก็เกิดขึ้น เมื่อนางลามและลูก ๆ ซึ่งกลายเป็นเจ้าของบริษัทแลนซ์ฟอร์ดรายใหม่ กำลังเดินทางมาเยี่ยมเยียนโฮ วันนั้นนักข่าวจึงไม่ได้สัมภาษณ์ และได้เลื่อนนัดเป็นวันที่ 8 ม.ค. ที่ภัตตาคารโรบุชน บริเวณใจกลางกรุง

อย่างไรก็ตาม ในวันนั้น (7 ม.ค.) เดซี เขียนจดหมายตอบโต้จดหมายของโฮว่า ความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่โฮเข้าใจ เดซีเล่าว่าตัวเธอเอง แพนซี และนางชาน พบกับโฮเมื่อเย็นวันที่ 5 ม.ค. และได้พยายามปรับความเข้าใจกันแล้ว

ท้ายจดหมายของเดซี มีลายเซ็นของโฮ ซึ่งโฮยืนยันว่า “ฉันยืนยันแบ่งหุ้นส่วนของ เอสทีดีเอ็มให้เป็นของขวัญแก่นางลาม และนางชาน” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าครั้งนี้โฮยินยอมลูก ๆ และภรรยา

จนกระทั่งเมื่อวันศุกร์ 21 ม.ค. เหตุการณ์พลิกผัน เมื่อโฮอัดวีดีโอ มอบหมายให้นักกฎหมายโอลด์แฮมเป็นตัวแทนมีอำนาจเต็มในการจัดการสมาชิกในครอบครัว รวมทั้งให้เปลี่ยนแปลงการการถือครองหุ้นในแลนซ์ฟอร์ดด้วย

โฮชี้ว่า “ผมสูญเสียการควบคุมอาณาจักรธุรกิจที่ผมสร้างขึ้นกว่า 5 ทศวรรษนั้น มันเป็นการขโมยกันชัด ๆ”

โฮจึงตัดสินใจลงชื่อฟ้องร้องลูก ๆ ได้แก่ เดซี แพนซี เมซี โจซี และลอว์เรนซ์ ภรรยา 2 คนได้แก่นางลูซินา ลาม คิง อิ๋ง และนางอีนา อัน ชาน ตลอดจนผู้ช่วยแพทริก หวน วิง หมิง โดยโฮยื่นคำร้องต่อศาลสูงฮ่องกง และศาลก็รับฟ้อง

ทว่าเหตุการณ์หักมุมอีกครั้ง เมื่อโฮนั่งรถเข็นให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์เมื่อวันพุธ (26 ม.ค.) ถอนคำพูดในทุกข้ออ้าง กล่าวว่า ทุกข้อกล่าวหานั้นแก้ไขเรียบร้อยแล้ว

“ผ่านพ้นเรื่องราวมากมาย ตอนนี้ผมก็มีความสุขมาก และครอบครัวผมด้วย” โฮอ่านคำแถลงจากแผ่นกระดาษขนาดใหญ่ด้วยสีหน้างงงวยว่า “ผมรักครอบครัว ไม่คิดจะฟ้องร้องกันเองเลย สถานการณ์ตอนนี้คลี่คลายแล้ว”

เหตุการณ์ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงก็หักมุมอีก (27 ม.ค.) โฮกลับยืนยันที่จะฟ้องร้องอีกครั้ง โดยอ้างว่าต้องการแบ่งสัดส่วนการถือหุ้นให้กับทายาทอย่างเท่าเทียมกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น