เอเจนซี- เจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) เผยยอดขายรถในจีนปี 2552 พุ่งสูงขึ้นร้อยละ 67 นับเป็นสถิติที่เน้นย้ำความสำคัญของตลาดในเอเชีย โดยเฉพาะตลาดจีนที่ยังมีศักยภาพสูงมาก
ตามรายงานในเว็บไซต์ จีเอ็ม ผู้ผลิตรถยนต์ต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในจีน เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ระบุว่าจีเอ็มสามารถทำยอดขายในจีนปีที่แล้วได้ 1.83 ล้านคัน ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของบริษัทร่วมทุนจีเอ็มในจีน เพิ่มขึ้นมาอีกร้อยละ 1.3 เป็นร้อยละ 13.4 โดยรถที่ขายดีที่สุดของค่ายฯ คือ บูอิค กับรถกระบะ และรถตู้ขนาดเล็ก
หลังจากค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่รายนี้ ได้ปิดฐานการผลิตในสหรัฐฯ ก็ได้เพิ่มการลงทุนในจีนในส่วนของรถยนต์ต้นทุนต่ำ ประเภทรถตู้ขนาดเล็ก ซึ่งเควิน เวล ผู้บริหารฯ จีเอ็มในจีน กล่าวในรายงานว่า แม้ปี 2552 จีเอ็ม จะทำยอดขายรถยนต์ในจีนได้สูงเป็นสถิติ แต่ก็คาดว่า ยอดขายในปีนี้จะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีก รวมทั้งแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งคาดว่า จะขยายตัวขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีการชะลอตัวในบางภาคส่วน
ขณะที่เศรษฐกิจยังคงเติบโต ปริมาณรถยนต์ที่ขายได้ในจีน ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วต่อไปเช่นกัน ไม่มีปัญหาในการที่จะเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เคลลี ซิมส กัลแลเกอร์ อาจารย์ มหาวิทยาลัย Tufts ผู้เขียนหนังสืออุตสาหกรรมรถยนต์ในจีนกล่าว และเสริมว่าสัดส่วนการมีรถยนต์ต่อประชากรของสหรัฐฯ อยู่ที่ 850 คันต่อพันคน ส่วนจีนมีสัดส่วนฯ ที่ 35 คัน ต่อพันคน ซึ่งหมายความว่า ตลาดรถยนต์ในจีนยังสามารถโตได้อีกมาก
ศักยภาพของตลาดนี้ ทำให้ค่ายรถยนต์ทั้งหลาย ต่างก็รุกเข้าไปแบ่งตลาด ซึ่งจากข้อมูลของ IHS Global Insight ผู้ครองตลาดในตอนนี้มีอาทิ โฟล์คสวาเก้น, ฉางอัน, เซี่ยงไฮ้ ออโตโททีฟ อินดัสทรี คอร์ปฯ (SAIC) และฮุนได
สำหรับจีเอ็ม การเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดจีนเมื่อปีที่แล้ว ช่วยชดเชยยอดขายในสหรัฐที่ตกจาก 16 ล้านคันต่อปี เหลือแค่ 10.5 ล้านคันในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม รถที่จีเอ็มขายในจีนนั้นจะมีราคาที่ต่ำกว่าที่ขายในสหรัฐฯมาก ทำให้รายได้จากตลาดสหรัฐฯยังคงสูงกว่า
การที่รัฐบาลสหรัฐฯได้ทุ่มเงินราว 5 หมื่นล้านเหรียญเพื่อกอบกู้จีเอ็มจากภาวะล้มละลาย ทำให้บริษัทต้องรับมือกับข้อวิพากวิจารณ์ที่ว่า บริษัทให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศมากไป ทั้งที่จริงบริษัทควรจะหันมาพัฒนาธุรกิจและโรงงานในสหรัฐฯมากกว่า
แต่ รีเบคก้า ลินแลนด์ นักวิเคราะห์จาก IHS Global Insight ให้ความเห็นว่าความสำเร็จของจีเอ็มในจีนจะช่วยจ่ายหนี้และการลงทุนส่วนอื่นๆ ที่รัฐบาลได้เทลงมาให้จีเอ็ม
"ไม่ต้องคิดว่าจีเอ็มทำเงินได้จากที่ไหน หรือผลิตรถยนต์ที่ไหน ที่สุดแล้วกำไรก็กลับมาที่สหรัฐฯอยู่ดี " ลินแลนด์ให้ความเห็นและยังระบุว่าเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่จีเอ็มประสบความสำเร็จในตลาดจีนก็คือ การปรับดีไซน์ให้เข้ากับตลาด ซึ่งจีเอ็มได้มุ่งที่จะเข้าไปในจีนมานานหลายปีแล้ว
จีเอ็ม ซึ่งร่วมทุนกับเอสเอไอซี (SAIC) และหลิวโจว อู่หลิง ออโตโมบิล (Liuzhou Wuling Automobile) ครองตลาดส่วนใหญ่ของจีน ด้วยการเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรก ที่ทำยอดขายในจีนได้มากกว่า 1 ล้านคัน ต่อปี โดยขายรถกระบะ และรถตู้ขนาดเล็ก ในราคาระหว่าง $4,000 ถึง $7,000 ซึ่งบริษัทสามารถทำสถิติการขายรถตู้ขนาดเล็ก ที่เรียกกันตามรูปทรงว่า "รถขนมปัง" เพียงรุ่นเดียวนี้ (รุ่น Wuling Sunshine) จำนวน 596,630 คัน อันถือว่าเป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ ด้วยการลดภาษี การให้เงินอุดหนุนชาวชนบทเปลี่ยนพาหนะเก่า มาเป็นรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพกว่าอย่าง กระบะและ รถตู้เล็ก โดยความช่วยเหลือส่วนใหญ่มุ่งไปที่รถขนาดเล็กของจีน
"ลูกค้าชาวจีนตอบรับรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพ มลพิษน้อย ประหยัดน้ำมัน ทันสมัยและสวยงามของเราเป็นอย่างดี" เควิน เวล ประธานและผู้อำนวยการบริหาร จีเอ็ม ประเทศจีน กล่าว
กิจการร่วมทุนฯ เติบโตทั่วหน้า ฟอร์ด ยอดฯ สูงขึ้นร้อยละ 54.5
นอกจากตัวเลขยอดขายของจีเอ็มในจีนแล้ว ล่าสุด บรรดาค่ายรถยนต์ทั้งของจีนและตะวันตกอย่างฟอร์ดมอเตอร์ ซึ่งเป็นกิจการร่วมกับจีนก็ได้แถลงยอดขายของตนในวันอังคาร (5 ม.ค.) ที่ 316,139 คัน สูงขึ้น ร้อยละ 54.5 จากปี 2551
โดยเดือนธันวาคมเพียงเดือนเดียว ฉางอันฟอร์ดมาสด้า ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันของฟอร์ด, ฉงชิ่ง ฉางอัน ออโต และมาสด้า มอเตอร์ส มียอดขาย 27,680 คัน สูงขึ้นร้อยละ 61.4 จากปี 2551 ตามรายงานของฉางอัน ออโต
ฉางอัน ออโต สูงขึ้น ร้อยละ 64.1
ขณะที่ ฉางอัน ออโต ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่หนึ่งในสามของจีน รายงานยอดขายโดยรวมในปีที่แล้วของตนว่า อยู่ที่ 1.37 ล้านคัน สูงขึ้น ร้อยละ 64.1 จากปี 2551
เอสเอไอซี (SAIC ) สูงขึ้นร้อยละ 57
และ เอสเอไอซี (SAIC ) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในจีน ซึ่งร่วมทุนกับโฟล์คสวาเกนและเจนเนอรัล มอเตอร์ส มียอดขายที่ 2.72 ล้านคัน ในปีที่แล้ว สูงขึ้นร้อยละ 57 จากปี 2551
