เอเอฟพี - ในเมืองจีนนั้น ชีส หรือ เนยแข็ง อาหารของชาติตะวันตก ที่พวกฝรั่งจะขาดเสียมิได้ ยังคงถูกผู้คนมองอย่างสงสัย แถมกลิ่นของมันก็ชวนให้รู้สึกทะแม่ง ๆ
หลิว หยางเป็นคนหนึ่ง ที่เคยรู้สึกเช่นนั้น และเมื่อไปร่ำเรียนวิชาการค้าระหว่างประเทศที่ฝรั่งเศส ก็แทบไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองจะเปลี่ยนมาเป็นคนที่ชอบชีสอย่างมากมายถึงขนาดลงทุนลงแรง ยึดอาชีพผลิตชีสขาย เมื่อกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน
หลิวรู้จักศิลปะการทำชีสเป็นครั้งแรกจากเพื่อนบ้านชายคนหนึ่ง ขณะที่เขาอาศัยอยู่ในท่ามกลางขุนเขา อันเขียวชอุ่มบนเกาะคอร์สิก้า ซึ่งอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นอกชายฝั่งภาคใต้ของฝรั่งเศส
“เขาให้ผมลองชิมชีส ที่ทำจากนมแพะ ผมว่ารสชาติมันอร่อยดีแหละ” หลิวย้อนเล่าเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีก่อนด้วยภาษาฝรั่งเศส ขณะเจ้าตัวกำลังเทนมสดลงในถังใบใหญ่ เพื่อทำชีสสด ๆ ใหม่ ๆ ออกขายลูกค้าในกรุงปักกิ่ง
“บางครั้ง เพื่อนบ้านคนนี้จะเอาชีสของเขามาเอง กลิ่นโคตรเหม็นเลย ผมก็เอาไป๋จิ่ว (เหล้าขาว) มาร่วมวง เราจะกินชีสแกล้มไป๋จิ่วด้วยกัน”
ไม่น่าเชื่อว่า การได้รู้จักชีสจากความมีน้ำใจของเพื่อนบ้านจะกลายเป็นแรงกระตุ้นให้หลิวนึกสนุก ไปเรียนการทำชีสทีโรงเรียนเกษตรกรรมท้องถิ่น
“ทุกคนที่เรียนกับผมมาจากครอบครัว ที่ทำชีสเป็นกันทั้งนั้น และเป็นคนฝรั่งเศสทั้งหมด … มีผมคนเดียว ที่เป็นคนต่างชาติ และทำชีสไม่เป็น แต่พวกเขาก็คอยดูแลผมกันจริง ๆ”
ในตอนนั้นเอง ที่หลิวได้ตัดสินใจแล้วว่า จะกลับมาเมืองจีนในฐานะผู้เชี่ยวชาญในการทำชีส
ทว่าความฝันอันบรรเจิดของหลิวมิจบเห่ที่เมืองจีนหรอกรึ ? เพราะเมืองจีนไม่ใช่เมืองฝรั่งเศส ไม่มีคนนิยมชมชอบรับประทานชีสกัน และอันที่จริงแล้ว มีชาวจีนมากมาย ที่เห็นว่า ผลิตภัณฑ์จากนมนั้นเป็นอาหาร ที่ร่างกายย่อยได้ยาก นอกจากนั้น ยังเอาชีสไปปะปนกับสาเหตุความอ้วนอีกด้วย
หามิได้ ! ความฝันของหลิวไม่มีวันสลายไปง่าย ๆ เพราะเขามิได้สร้างขึ้นจากความเพ้อเจ้อ
จากข้อมูลของบริษัทวิจัย ชื่อว่า ยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Euromonitor International) ระบุว่า การบริโภคชีสในจีนขยายตัว “รวดเร็วอย่างประหลาด”ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้จะยังคงเป็นการนิยมรับประทานชีส ที่มาจากโรงงานผลิตก็ตาม
“ผลิตภัณฑ์นี้ถูกกับรสนิยมของผู้บริโภคชาวจีนกันมากขึ้น และชีสมักรับประทานเป็นอาหารเช้าคู่กับขนมปังปิ้ง หรือใส่กับแซนด์วิช” บริษัทรายนี้ระบุในรายงาน
“ ชีส ที่ไม่ได้ผลิตจากกระบวนการทางอุตสาหกรรม ซึ่งบางครั้งห่อเป็นชิ้น ๆ นั้น แทบหาซื้อไม่ได้ตามร้านค้าปลีก ขณะที่ผู้คนก็ไม่ทราบว่าจะเอาชีสไปทำอะไร”
จากรายงานชิ้นหนึ่งเมื่อปี 2550 ของ WWW.21food.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์อุตสาหกรรมอาหารระบุว่า การนำเข้าชีสในจีนบ่งชี้ว่าชีสอาจกลายเป็นอาหารยอดนิยมในจีนอีกประเภทหนึ่ง หลังจากชาวจีนนิยมบริโภคเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล, นมผง และโยเกิร์ต กันมาแล้ว
ด้วยการศึกษาข้อมูลเหล่านี้ หลิว วัย 35 ปี จึงเดินทางกลับกรุงปักกิ่งในปี 2550 เพื่อเตรียมการเปิดร้านขายชีส และแล้วประเทศจีน ซึ่งหาคนผลิตชีสแทบไม่มี ก็ได้คนผลิตชีสเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
“ผมเริ่มทำชีสในห้องครัวที่บ้าน ผลก็คือต้องออกไปหาข้าวเย็นกินข้างนอกทุกวัน เพราะว่าไม่อยากทำอาหารอะไรอีกแล้ว” เขาเล่า
ในปีนั้นเอง หลิวก็ได้พบกับภรรยาในอนาคต ซึ่งสนับสนุนความมุมานะของเขา แม้ในตอนแรกเธอไม่ชอบกินชีสเอาเสียเลย
“แต่ตอนนี้แฟนผม เค้าชอบBrocciu (ชีส ซึ่งทำจากนมแพะของชาวคอร์สิก้า) และกำลังเริ่มชอบชีสประเภทกาม็องแบร์ ( camembert) แต่ยังไม่ชอบบลูชีส” หลิวแจกแจงได้อย่างละเอียด
ร้านของหลิวเพิ่งเปิดเมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง โดยดัดแปลงพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นสถานที่ผลิต มีห้องเย็นขนาดใหญ่ และได้นำเข้าอุปกรณ์บางอย่างจากฝรั่งเศส แต่ถังทำชีส พร้อมเครื่องวัดอุณหภูมิความร้อนนั้น เขาให้เพื่อนวิศวกรคนหนึ่งในกรุงปักกิ่งทำให้
เฉพาะถังใบนี้ เขาใช้เงินถึง 50,000 หยวนโดยหลิวนำเงินเก็บทั้งหมดมาลงทุนธุรกิจ ซึ่งใช้เงินสูงเกือบ 100,000 หยวน (14,600 ดอลลาร์)
หลิว ซึ่งตอนนี้ยังทำเงินไม่ได้เลย ตั้งเป้าเจาะลูกค้ากลุ่มแรกคือชุมชนชาวต่างชาติขนาดใหญ่ในกรุงปักกิ่ง โดยเน้นกลยุทธ์ให้ลูกค้าลองชิม และบริการจัดส่ง ขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ นำเสนอให้ชาวจีนรู้จักชีสแบบฝรั่งเศส
“ลูกค้าชาวจีนชอบชีสอย่าง Brocciu และฟรอมาช แฟร (fromage frais) แต่ก็ขอให้เติมน้ำตาลลงไปด้วย” หลิวกล่าว
“ แต่ผมจะยังไม่แนะนำชีสรสชาติรุนแรงกว่านี้ให้คนจีนรับประทานหรอกครับ” เขาวางแผน
หลิวผลิตชีสจำหน่าย โดยใช้ชื่อเครื่องหมายการค้าว่า “ กรี เดอ เปอแก็ง” (Gris de Pekin) หรือ “ ปักกิ่ง เกรย์” (Beijing grey) โดยเริ่มต้นจากการผลิตชีสกาม็องแบร์ เป็นหลัก
เพื่อพิสูจน์ว่า สินค้าของเขาไปได้ดีแค่ไหน ดังนั้น เมื่อไปรับประทานอาหารมื้อกลางวันคราวหนึ่งที่ภัตตาคารจีน หลิวได้ตัดเนยชิ้นหนึ่งให้พนักงานในภัตตาคารลองชิม
พนักงานชายผู้นั้นใช้ตะเกียบคีบมันขึ้นมาพินิจอย่างฉงนสนเท่ห์ จากนั้น ลองดมกลิ่น แล้วจึงค่อย ๆ เล็มทีละนิด
“ ก็อร่อยดีนะ” พนักงานคนนั้นบอกหลิว ทว่าน้ำเสียงฟังดูไม่มั่นใจเอาเสียเลย