เอเอฟพี – รัฐบาลแดนอินทรีเปิดเผยภายหลังจากคณะผู้นำจีนแสดงท่าทีหวาดหวั่นต่อปัญหาขาดดุลงบประมาณหนักหน่วงของสหรัฐฯ ระบุพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จีนถือครองอยู่นั้นลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน ขณะที่ประเทศมหาอำนาจน้องใหม่อื่นๆ อย่าง รัสเซีย และบราซิล ก็ยังลดการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวในรายงานประจำเดือนว่าด้วยข้อมูลเงินทุนนานาชาติเมื่อวันจันทร์ (15 มิ.ย.) ว่า เป็นครั้งแรกที่ประเทศจีน รัสเซีย และบราซิลวางแผนจะเข้าซื้อพันธบัตรมูลค่านับหมื่นล้าน ซึ่งออกโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อช่วยเหลือด้านเงินทุนแก่ประเทศที่ประสบวิกฤต
ตามข่าวระบุ จีนกำลังเล็งซื้อพันธบัตรของ IMF เป็นมูลค่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่รัสเซียและบราซิลกำลังพิจารณาลงทุนประเทศละ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยความเคลื่อนไหวข้างต้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของสามเส้าเศรษฐกิจในการหลีกเลี่ยงการถือครองพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจำนวนมาก
โดยพันธบัตรของ IMF นั้น จะใช้หน่วยเงินเป็น Special Drawing Rights หรือ SDR ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ IMF สร้างขึ้นเพื่อใช้ในระบบสำรองเงินตราระหว่างประเทศ โดยค่าเงินสกุลนี้จะอิงกับเงินสกุลหลักของหลายประเทศ เช่น ดอลล่าร์ ยูโร ปอนด์สเตอริง และเยน ซึ่งนโยบายการเงินของชาติใดชาติหนึ่งไม่อาจแทรกแซงเสถียรภาพของเงินสกุลนี้ได้
จากข้อมูลของกระทรวงการคลังระบุ ในเดือนเมษายนที่ผ่านมารัฐบาลปักกิ่งลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นมูลค่า 763,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจาก 767,900 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนมีนาคม นับเป็นระดับต่ำที่สุดตั้งแต่จีนลงทุนซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เพิ่มในเดือนมิถุนายน 2551
ทั้งนี้ ตัวเลขข้างต้นยังไม่นับรวมพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ถือครองโดยเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ซึ่งมีมูลค่า 80,900 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนเมษายน เพิ่มขึ้นจาก 78,900 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนก่อนหน้า
ขณะที่บราซิลได้ปรับลดการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จาก 126,600 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนมีนาคมเหลือ 126,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และรัสเซียลดจาก 138,400 ล้านเหรียญสหรัฐ เหลือ 137,000 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนเมษายน
และเมื่อมองจากภาพรวมแล้ว ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาต่างชาติลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ลงราว 44,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยจีนประเทศที่นำสินทรัพย์ไปลงทุนซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มากที่สุด ในระยะหลังๆ มักแสดงความกังวลถึงความมั่นคงของสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ และมองว่าการขาดดุลงบประมาณบานตะไทของวอชิงตันอาจทำให้จีนขาดทุนย่อยยับ ความกังวลของจีนนี้ยังพลอยทำให้นักลงทุนทั่วโลกผวาตามไปด้วย
แม้ว่าขุนคลังมะกัน นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ จะเดินทางเยือนจีนเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน (1-2 มิ.ย.) เพื่อรับรองว่าสินทรัพย์จีนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างมหาศาลนั้น “ปลอดภัยมาก”
แต่สื่อจีนยังออกตัวคัดค้านนโยบายของรัฐบาลปักกิ่งที่จะนำเงินก้อนโตไปสอยซื้อหนี้สหรัฐฯ พร้อมระบุว่า จีนอาจขาดทุนยับหากวิกฤตการเงินกระหน่ำโจมตีอีกระลอก
ด้านหนังสือพิมพ์จีน โกลบอล ไทม์ส ล่าสุดได้รายงานผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อความปลอดภัยในสินทรัพย์ดอลลาร์ พบว่าร้อยละ 87 มองว่าสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ของจีนนั้นไม่ปลอดภัย
ทั้งนี้ นับตั้งแต่บารัก โอบามาจากพรรคเดโมแครต นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีต่อจากจอร์จ ดับเบิลยู บุช รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ตกอยู่ภายใต้สภาวะขาดแคลนงบประมาณมหาศาล โดยรัฐบาลมะกันคาดการณ์ว่า จะขาดดุลงบประมาณถึง 1.841 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2552 และ 1.258 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2553