เอเอฟพี – จีนออกมาเรียกร้องชาวโลกอีกครั้ง ให้ปฏิรูประบบสกุลเงินตราเพื่อปลดแอกจากการครอบงำของเงินเพียงสกุลเดียว ชี้ความพิการของระบบการเงินของโลก เป็นต้นเหตุของวิกฤตด้านการเงินที่กำลังลุกลามไปทั่วโลก
โดยข้อเรียกร้องครั้งนี้มาจาก นายหลี ย่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของจีน ที่ได้แถลงต่อที่ประชุมคณะกรรมการร่วมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลกในกรุงวอชิงตัน
“ระบบการเงินระหว่างประเทศที่บกพร่อง ถือเป็นรากฐานของวิกฤตการณ์เศรษฐกิจที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้ ดังนั้น เราจึงควรปรับปรุงกลไกด้านกฎหมายที่ใช้ในระบบสำรองเงินตรา เราควรรักษาความมั่นคงของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่ใช้ในระบบสำรอง และเราควรส่งเสริมความหลากหลายของสกุลเงินที่ใช้ในระดับนานาชาติ” นั่นเป็นข้อเรียกร้องในแถลงการณ์ของนายหลี
ปัจจุบันนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นสกุลเงินหลักที่รัฐบาลหลายๆ ประเทศใช้เพื่อสำรองเงินตราระหว่างประเทศ และเงินสกุลดังกล่าวยังใช้กำหนดราคาสินค้า เช่น น้ำมันและทอง ในตลาดระหว่างประเทศด้วย ดังนั้น สหรัฐฯ ในฐานะที่เป็นเจ้าของเงินสกุลหลักจึงมีข้อได้เปรียบ โดยจ่ายเงินซื้อสินค้าได้ในราคาถูกกว่า และสามารถกู้ยืมเงินได้ในปริมาณมากกว่าประเทศอื่นๆ
ถึงแม้ว่านายหลีไม่ได้ระบุชื่อสกุลเงินหลักว่าหมายถึงดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายโจว เสี่ยวชวน ผู้ว่าการแบงก์ชาติจีน ได้ระบุไว้ว่า เขาต้องการให้มีเงินสกุลอื่นมาแทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ใช้มาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
“วิกฤตการณ์ที่ระเบิดออกมาและลุกลามไปทั่วโลก ได้สะท้อนถึงความเปราะบางและความเสี่ยงของระบบการเงินระหว่างประเทศที่ใช้อยู่ขณะนี้” นายโจวระบุ และว่า ไอเอ็มเอฟควรแสดงบทบาทในกำหนดระบบการเงินระหว่างประเทศมากกว่าที่เป็นอยู่
คำวิพากษ์วิจารณ์ของนายโจวได้สะท้อนถึงความกังวลของรัฐบาลจีน เนื่องจากจีนเป็นชาติที่มีเงินสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลกคือ 1.95 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และยังเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยข้อมูลจากทางการสหรัฐฯ ระบุว่า พันธบัตรสหรัฐฯ ที่จีนถือครองมีมูลค่าถึง 8 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็แสดงความไม่พอใจต่อค่าเงินหยวนของจีน โดยระบุว่าจีนกดให้เงินหยวนมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะต้องการข้อได้เปรียบด้านการส่งออก
ข้ออ้างเรื่องความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกอีกประการหนึ่ง คือการขาดดุลการค้าจำนวนมหาศาลที่สหรัฐฯ มีต่อจีน โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าจะต้องมีการแก้ไขความไม่สมดุลดังกล่าว เพื่อทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตได้อย่างมั่นคงมากขึ้น
โดยข้อเรียกร้องครั้งนี้มาจาก นายหลี ย่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของจีน ที่ได้แถลงต่อที่ประชุมคณะกรรมการร่วมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลกในกรุงวอชิงตัน
“ระบบการเงินระหว่างประเทศที่บกพร่อง ถือเป็นรากฐานของวิกฤตการณ์เศรษฐกิจที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้ ดังนั้น เราจึงควรปรับปรุงกลไกด้านกฎหมายที่ใช้ในระบบสำรองเงินตรา เราควรรักษาความมั่นคงของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่ใช้ในระบบสำรอง และเราควรส่งเสริมความหลากหลายของสกุลเงินที่ใช้ในระดับนานาชาติ” นั่นเป็นข้อเรียกร้องในแถลงการณ์ของนายหลี
ปัจจุบันนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นสกุลเงินหลักที่รัฐบาลหลายๆ ประเทศใช้เพื่อสำรองเงินตราระหว่างประเทศ และเงินสกุลดังกล่าวยังใช้กำหนดราคาสินค้า เช่น น้ำมันและทอง ในตลาดระหว่างประเทศด้วย ดังนั้น สหรัฐฯ ในฐานะที่เป็นเจ้าของเงินสกุลหลักจึงมีข้อได้เปรียบ โดยจ่ายเงินซื้อสินค้าได้ในราคาถูกกว่า และสามารถกู้ยืมเงินได้ในปริมาณมากกว่าประเทศอื่นๆ
ถึงแม้ว่านายหลีไม่ได้ระบุชื่อสกุลเงินหลักว่าหมายถึงดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายโจว เสี่ยวชวน ผู้ว่าการแบงก์ชาติจีน ได้ระบุไว้ว่า เขาต้องการให้มีเงินสกุลอื่นมาแทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ใช้มาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
“วิกฤตการณ์ที่ระเบิดออกมาและลุกลามไปทั่วโลก ได้สะท้อนถึงความเปราะบางและความเสี่ยงของระบบการเงินระหว่างประเทศที่ใช้อยู่ขณะนี้” นายโจวระบุ และว่า ไอเอ็มเอฟควรแสดงบทบาทในกำหนดระบบการเงินระหว่างประเทศมากกว่าที่เป็นอยู่
คำวิพากษ์วิจารณ์ของนายโจวได้สะท้อนถึงความกังวลของรัฐบาลจีน เนื่องจากจีนเป็นชาติที่มีเงินสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลกคือ 1.95 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และยังเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยข้อมูลจากทางการสหรัฐฯ ระบุว่า พันธบัตรสหรัฐฯ ที่จีนถือครองมีมูลค่าถึง 8 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็แสดงความไม่พอใจต่อค่าเงินหยวนของจีน โดยระบุว่าจีนกดให้เงินหยวนมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะต้องการข้อได้เปรียบด้านการส่งออก
ข้ออ้างเรื่องความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกอีกประการหนึ่ง คือการขาดดุลการค้าจำนวนมหาศาลที่สหรัฐฯ มีต่อจีน โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าจะต้องมีการแก้ไขความไม่สมดุลดังกล่าว เพื่อทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตได้อย่างมั่นคงมากขึ้น
