เอเจนซี – ธนาคารโลกปรับลดอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน คาดปีนี้เติบโตได้แค่ 6.5 เปอร์เซ็นต์ ต่ำกว่าเป้าที่ทางการจีนตั้งไว้ที่ 8 เปอร์เซ็นต์ พร้อมเตือนให้จีนใช้เงินจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ เพราะอาจต้องนำเงินมาช่วยอุดดุลงบประมาณปี 2553 หากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้น
ทั้งนี้ เป็นรายงานภาวะเศรษฐกิจจีนช่วงไตรมาสแรกที่จัดทำโดยธนาคารโลก แม้ว่าก่อนหน้านี้ธนาคารโลกได้ทำนายว่า อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้จะสูงถึง 7.5 เปอร์เซ็นต์ แต่การที่เศรษฐกิจโลกยังย่ำแย่มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารโลกต้องปรับลดตัวเลขลงมาอีก
ซึ่งก็สอดคล้องกับความเห็นของ นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ของจีนที่ยอมรับว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปีนี้ อาจทำให้เป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลจีนตั้งไว้ว่าจะมึถึง 8 เปอร์เซ็นต์เป็นไปได้ยาก และว่า จีนวางแผนที่จะอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น
“ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำไปทั่วโลก จีนยังถือเป็นประเทศที่เศรษฐกิจมีอนาคตสดใสที่สุด การที่จีนได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์จากที่เน้นการส่งออก มาเป็นการเน้นที่ตลาดภายในประเทศ จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจมีความมั่นคงขึ้นในอนาคต” นั่นเป็นความเห็นของ นายเดวิด ดอลล่าร์ ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศจีน
รายงานจากธนาคารโลก ระบุด้วยว่า การที่ระบบธนาคารของจีนไม่ได้รับความสียหายจากวิกฤตการเงินโลก ที่เกิดจากการล่มสลายของธนาคารเลห์แมน บราเธอร์ส ในสหรัฐฯ ทำให้จีนยังสามารถหามาตรการมากอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจได้
รายงานจากธนาคารโลกที่ออกมาล่าสุด ยังระบุว่า การลงทุนของรัฐบาลและการบริโภคภายในประเทศจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจจีนเติบโตได้
ขณะเดียวกัน ธนาคารโลกยังทำนายว่า การขาดดุลงบประมาณของจีนในปีนี้จะสูงถึง 3.2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งที่สูงกว่าประมาณการณ์ของรัฐบาลจีนที่เห็นว่าการขาดดุลงบประมาณปีนี้จะอยู่ที่อัตรา 3 เปอร์เซ็นต์
การขาดดุลงบประมาณดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจีนประกาศไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินถึง 4 ล้านล้านหยวนเข้าไปในระบบเศรฐกิจ โดยมีระยะดำเนินการไปจนถึงปี 2553
อย่างไรก็ตาม ทางธนาคารโลกได้กล่าวเตือนรัฐบาลจีนว่า ควรจะใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยความระมัดระวัง เพราะจีนอาจต้องใช้เม็ดเงินมาอุดช่องว่างของดุลงบประมาณในปี 2553 หากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นคืนสู่สภาพเดิม
ถึงแม้ว่าอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้จะต่ำกว่าปีที่ผ่านมา แต่ก็มีก้าวย่างที่มั่นคง และ ปัจจัยนี้ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายทางด้านสังคม เพราะรัฐบาลจีนยังมีพื้นที่กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ด้วยการใช้เงินไปในเรื่องของสุขภาพ การศึกษา และความปลอดภัยทางสังคม
ทางธนาคารโลกยังได้ประมาณการณ์ว่า ในปีนี้สำรองเงินตราต่างประเทศของจีนจะเพิ่มขึ้นถึง 2.376 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และถือเป็นประเทศที่มีสำรองเงินตรามากที่สุดในโลก ดังนั้น การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลงของจีนจึงไม่ใช้ข้อที่น่ากังวล
นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังทำนายว่า ในช่วงทศวรรษหน้าเงินหยวนจะแข็งค่าขึ้น พร้อมกับแนะนำว่า การอ่อนค่าของเงินหยวนนั้นจะไม่ช่วยให้จีนได้เปรียบเรื่องการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ความต้องการสินค้าในตลาดโลกมีน้อยลงเช่นปัจจุบันนี้ และว่า ค่าเงินหยวนที่มีความยืดหยุ่นจะช่วยป้องกันอันตรายที่เกิดจากภาวะเงินเฟ้อ เพราะประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลายกำลังพยายามใช้จ่ายเงินให้มากขึ้น เพื่อทำให้เศรษฐกิจของประเทศตนเข้มแข็งขึ้น