เอเอฟพี - หลังจากเลื่อนกำหนดฉายมานานกว่า 2 เดือนในที่สุด “Cape No.7” ผลงานการกำกับของ เว่ย เต๋อเซิ่ง ผู้กำกับชาวไต้หวัน สามารถฝ่าด่านอรหันต์เข้ามาโลดแล่นในแผ่นดินใหญ่ได้สำเร็จ หลังจากก่อนหน้านี้มีข่าวว่า สำนักกิจการวิทยุ ภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งชาติจีน (SARFT) กบว.จีนออกโรงขวางภาพยนตร์เรื่องนี้เข้ามาฉาย
สื่อทั้งในแผ่นดินใหญ่และจีนรายงานว่า ผู้กำกับ เว่ย เต๋อเซิ่งวางแผนพบปะผู้ชมในโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งของปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (14 ก.พ.) เพื่อโปรโมทหนังเรื่องนี้ และหนังสือพิมพ์ปักกิ่งบางฉบับถึงขนาดแนะนำว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังที่เหมาะสำหรับคู่รักควงกันมาดูในวันวาเลนไทน์ด้วย
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ที่ SARFT ไม่อนุญาตให้หนังเรื่องนี้เข้ามาฉาย ได้อ้างเหตุผลว่าเป็นเพราะหนังเรื่องนี้มีภาษาท้องถิ่น รวมถึงภาษาญี่ปุ่นอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีบทบรรยายที่เป็นภาษาจีน ซึ่งทั้งหมดเป็นปัญหาทางเทคนิกที่จีนได้ขอให้ผู้ผลิตทำการแก้ไข แต่ว่าไม่ได้รับการแก้ไข บวกกับช่วงปลายปีมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่รอคิวเข้าฉายเป็นจำนวนมาก ทาง SARFT จึงต้องตัดรายชื่อของ Cape No.7 ออกไปก่อน
ขณะที่สื่อไต้หวันกลับคาดว่า สาเหตุที่แท้จริงน่าจะเกี่ยวกับแนวคิดต่อต้านญี่ปุ่น โดยแนวคิดดังกล่าวยังคงฝังรากอยู่ในแผ่นดินใหญ่ซึ่งมองว่าตัวเองเป็นผู้เสียหายมากที่สุดจากการที่กองทัพญี่ปุ่นบุกประเทศในช่วงทศวรรษที่ 30 และ40
สอดคล้องกับคำสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ของ เฉิน หยุนหลิน ผู้แทนเจรจาระดับสูงในกิจการไต้หวันของทางการจีนให้เหตุผลว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ ถูกทำให้แปดเปื้อนจากการฉายภาพของชาวไต้หวันที่ยินยอมให้ลัทธิจักรวรรดินิยม(ญี่ปุ่น) ล้างสมอง
Cape No.7 เป็นเรื่องราวความรักของสาวไต้หวันกับหนุ่มญี่ปุ่นที่ต้องพรากจากกัน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปิดฉากลง ชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นเดินทางกลับบ้านเกิดและถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวชาวไต้หวันผ่านทางจดหมาย โดยเมื่อปีที่แล้ว “Cape No.7” กวาดรายได้ในไต้หวันไปถึง 530 ล้านเหรียญสหรัฐ กลายเป็นภาพยนตร์ภาษาจีนที่ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของไต้หวัน
อนึ่ง กรณีของการเลื่อนฉาย Cape No.7 ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทางการจีนปฏิบัติต่อค่ายหนังต่างชาติที่ต้องการนำผลงานเข้ามาฉายในจีน โดยก่อนหน้านี้ จีนก็เคยขวางไม่ให้เรื่อง “เกอิชา” ที่นักแสดงสาวจาง จื่ออี๋แสดงนำ เข้ามาฉาย ซึ่งในตอนนั้นมีข่าวว่าเพียงเพราะในหนังเธอสวมชุดกิโมโนของญี่ปุ่น