เอเจนซี่ – จีนทุ่มงบประมาณ ยกระดับสำนักข่าวซินหัว และสถานีโทรทัศน์ส่วนกลางแห่งชาติจีน หรือ CCTV กระบอกเสียงของรัฐ ให้เป็นสื่อมวลชนระดับโลก แต่เรื่องนี้อาจประสบความสำเร็จได้ยาก หากพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงควบคุมการนำเสนอข่าวอย่างเข้มงวด
ถึงแม้รัฐบาลจีนกำลังปวดหัวกับปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว, ปัญหารายได้จากการจัดเก็บภาษี และยังได้ประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวนไปแล้ว แต่รัฐบาลจีนกำลังจะขยายแนวรบด้านสื่อสารมวลชน ผ่านโครงการพัฒนาสื่อสารมวลชนของรัฐ โดยทุ่มงบประมาณสูงถึง 32,000 ล้านหยวน (4,680 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) หลังจากเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของประเทศกำลังถูกทำลายจากการเสนอข่าวในแง่ลบอยู่ตลอดเวลาจากสื่อมวลชนตะวันตก และหวังว่าการทุ่มเงินให้อย่างไม่อั้นจะช่วยทำให้สำนักข่าวซินหัว และ CCTV ได้รับการยอมรับและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นในสายตาต่างประเทศ
“ การดำเนินการให้การสื่อสารมีความทัดเทียมกับสถานภาพระหว่างประเทศของเราได้กลายเป็นภารกิจทางยุทธศาสตร์ ที่เร่งด่วนสำหรับเรา” นายหลิน หยุนซัน หัวหน้าฝ่ายโฆษณาการกลางประจำพรรคคอมมิวนิสต์จีนกล่าวในข้อเขียนสำหรับวันปีใหม่ ซึ่งลงในวารสาร “ฉิวซื่อ”อันเป็นวารสารหลักในการเผยแพร่อุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์
นายหลินเห็นว่า ปัจจุบัน ชาติที่มีความก้าวหน้าและความสามารถด้านการสื่อสารย่อมจะมีอิทธิพลในโลก และเผยแพร่อุดมการณ์ของตนเองได้อย่างกว้างขวาง
เมื่อวันจันทร์ (12 ม.ค.) หลี่ ฉางชุน หนึ่งในคณะกรรมการการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดด้านอุดมการณ์ ได้เรียกร้องให้ ผู้ทำงานด้านสื่อของจีนทั้งในและต่างประเทศช่วยกันป่าวประกาศ ถึงความสำเร็จด้านเศรษฐกิจ อันเป็นผลงานสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
“เราต้องส่งเสริมภาพลักษณ์ของการเป็นชาติที่แข็งแกร่ง ประชาชนชนจีนจะสามารถยืดอกประกาศได้ว่า จีนไม่ใช่คนป่วยแห่งเอเชียอีกต่อไป เราไม่ใช่ชาติที่จน ล้าหลังและโง่เขลาอีกแล้ว” หลี่ ฉางชุน กล่าว
ซินหัว เตรียมตั้งสถานีโทรทัศน์
สำนักข่าวซินหัวกำลังร่างแผนการ เพื่อผงาดขึ้นเป็นยักษ์ใหญ่ด้านมัลติมีเดีย และซินหัวจะเปิดสถานีโทรทัศน์ของตัวเองในเร็ววันนี้ โดยได้มีการจัดหาอุปกรณ์ ติดตั้งที่สำนักงานในต่างประเทศ เพื่อสร้างสถานีโทรทัศน์,สถานีวิทยุ และเปิดบล็อกรายงานข่าวทางอินเตอร์เน็ต
ศาสตรจารย์ สตีเว่น ตง ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาด้านสื่อสารมวลชน ของมหาวิทยาลัยชิงหัว และยังเป็นที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์ให้กับรัฐบาลจีนคาดว่า สำนักข่าวซินหัวจะได้ใบอนุญาตเปิดสถานีโทรทัศน์ในปีนี้ หรืออย่างช้าในปีหน้า
แหล่งข่าวยังเปิดเผยด้วยว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้กันงบประมาณสำหรับ CCTV และสำนักข่าวซินหัวไว้แห่งละ 15,000 ล้านหยวน และอีก 2,000 ล้านหยวน สำหรับสำนักข่าวรายเล็กกว่า คือ ไชน่า นิวส์ เอเจนซี่ โดยขณะนี้ CCTV ได้เปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ โดดเด่นสะดุดตาอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจกรุงปักกิ่ง
เงินก้อนใหญ่ ที่ได้รับนี้ คาดว่าจะใช้จ่ายไปในการจ้างผู้สื่อข่าวเพิ่มขึ้น ขยายสำนักงานในต่างประเทศ และปรับปรุงคุณภาพในการเสนอข่าว
CCTV ขยายภาษารัสเซีย,อารบิก
ทางด้านสถานีโทรทัศน์ CCTV ที่ได้เปิดตัวสถานีภาษาฝรั่งเศสและสเปนไปแล้ว ก่อนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2008 มีแผนงานต่อไป ก็คือ การเปิดสถานีภาษารัสเซีย และอารบิก
“เรามีแผนจะเปิดสถานีภาษาอารบิกในเดือนกันยายนปีนี้ โดยมีพนักงานที่พูดภาษาอารบิกได้ประมาณ 100 คน ส่วนเรื่องงบประมาณนั้นไม่มีปัญหา เพราะ CCTV ได้ตั้งงบประมาณไว้แล้ว” เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของ CCTV กล่าว
ส่วนทางด้านสื่อสิงพิมพ์ หนังสือพิมพ์ หวนฉิวสือเป้า หรือ The Global Times ซึ่งอยู่ในเครือข่ายของหนังสือพิมพ์พีเพิ่ล เดลี่ ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็จะออกฉบับภาษาอังกฤษออกมา เพื่อเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับที่สองของประเทศ คู่กับหนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่
ปัญญาชน เรียกร้องคว่ำบาตร CCTV ล้างสมองประชาชน
ทว่าระหว่างนี้เอง ก็ได้เกิดเหตุการณ์ ซึ่งตอกย้ำว่าการปั้นให้สื่อมวลชนของรัฐมีความน่าเชื่อถือนับเป็นงานที่ยากเย็นเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา เมื่อในสัปดาห์นี้ ปัญญาชนรุ่นหนุ่มสาว 22 คน ได้ตีพิมพ์เผยแพร่จดหมาย เรียกร้องให้ประชาชนชาวจีนคว่ำบาตร CCTV เนื่องจากเป็นสื่อที่ผูกขาดการเผยแพร่ข่าวสาร ซึ่งเท่ากับเป็นการล้างสมองของประชาชน
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนกลับไม่มีแผนการ ที่จะผ่อนคลายการควบคุมการทำงานของสื่อมวลชนแต่ประการใด โดยสื่อมวลชนถือเป็นเครื่องมือทรงประสิทธิภาพมากที่สุดอย่างหนึ่งของรัฐบาลในการควบคุมประชากรจำนวนทั้งหมด 1,300 ล้านคนในประเทศ
“ มันส่งอิทธิพลที่แย่มากๆ ให้กับชาวจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ซึ่งมีแหล่งข้อมูลข่าวสารจำกัด จึงไม่มีข่าวสารจากหลายแหล่งมาเปรียบเทียบกัน และถูก CCTV ชักจูงความคิด” นายหลาน หยุนเฟย ซึ่งเป็นปัญญาชนคนหนึ่ง ที่กำลังเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตร CCTV กล่าว
ปกติแล้วรัฐบาลจีนมีการควบคุมสื่ออย่างเข้มงวด ทั้งสื่อแบบเก่าและสื่อใหม่อย่างอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะเนื้อหาอ่อนไหวทางการเมือง, ภาพลามกอนาจาร, การวิพากษ์วิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์, สนับสนุนการปฏิรูปประชาธิปไตย และความเคลื่อนไหวอิสรภาพไต้หวัน เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทางการจีนเพิ่งประกาศกวาดล้างเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม และสั่งปิดเว็บไซต์ไปแล้ว 91 เว็บ