เอเจนซี-ผู้นำเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้ได้รับฉายา “คนร่างเล็กผู้ถือหางเสือ” ผู้นำตัวจริงที่พานาวารัฐจีน สู่การปฏิรูป เปิดประเทศ ผู้กล้าในการเดิมพันชะตากรรมของประเทศอย่างถอนรากถอนโคน ผ่านไป 30 ปี “จีนวันนี้” กำลังเฉลิมฉลองการปฏิรูปที่ก้าวสู่ขวบวัยที่ 30 ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) นี้
ในปี ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521 ) ชายร่างเล็กเตี้ยผู้สูงอายุ ผู้รอดพ้นจากการกวาดล้างทางการเมืองของกลุ่มผู้นำหัวเก่ายุคเหมา เจ๋อตง ได้กลับมาได้ใช้กลอุบาย มากกว่าหลักยุทธศาสตร์ โดยยึดถือหลักการปฏิบัติได้จริง ในการปลดปล่อยพลังของประเทศ เปิดประเทศสู่โลกกว้าง และหลุดพ้นจากความยากจน
30 ปี ต่อมา ผู้สืบทอดมรดกนโยบายปฏิรูประบบตลาดของเติ้ง ก็ได้พาจีนทะยานขึ้น ทัดหน้าเทียมตากลุ่มชาติอำนาจใหญ่ของโลก
เติ้ง เสี่ยวผิง เกิดในยุคการปกครองระบอบกษัตริย์ เมื่อปี ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) ที่มณฑลเสฉวน บางครั้ง ก็ต้องหันมาใช้กำปั้นเหล็กอย่างในยุคจักรพรรดิราชวงศ์ เติ้งเป็นผู้สั่งปฏิบัติการปราบปรามกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยจนเกิดการนองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อปี 1989 ซึ่งขณะนั้น กระแสปฏิรูป “เปเรสตรอยก้า” ในโซเวียต ถูกมองเป็นลางมรณะของลัทธิคอมมิวนิสต์โซเวียต
เติ้งต้องใช้ความกล้าระดับที่อาจเรียกได้ว่า “บ้าบิ่น มุทะลุ” ในการเป็นหัวหน้านำการปฏิรูป เปิดประเทศ เปลี่ยนประเทศอย่างพลิกผันที่สุดในรอบประวัติศาสตร์ 3,000 ปี บุกฝ่ากระแสลัทธิคอมมิวนิสต์สุดขั้วในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม (1967-197-76) ที่ปิดประตูสนิทสำหรับ “ระบบทุน”
เติ้งผู้เคยทำงานในโรงงานรถยนต์ Renault ที่ Boulogne-Billancourt ประเทศฝรั่งเศส ไม่เพียงเป็น “สถาปนิก” ของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่และกระตุ้นเร้าอารมณ์มากที่สุด เขายังแสดงบทบาทสำคัญอย่างที่ไม่โดดเดี่ยว โดยเบื้องหลังการปฏิรูปของเขานั้น ยังมีกลไกการเมืองรองรับ อันประกอบด้วยกลุ่มที่ต้องการฟื้นฟูประเทศ หลังจากที่เกือบพังพินาศย่อยยับในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม Jean-Louis Rocca, นักวชาการจาก CERI (Paris), ปัจจุบันสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชิงหัวในกรุง ปักกิ่ง
ระหว่างทำการทดลองการปฏิรูป เติ้ง เสี่ยวผิง นักต่อสู้ปฏิวัติที่เคยร่วม “ขบวนเดินทางไกล” (Long March) ของเหมา เจ๋อตง ก็ได้ใช้ยุทธวิธีใหม่ในการโอบล้อมสกัดกลุ่มลัทธิคอมมิวนิสต์หัวเก่า อาทิ แนวคิดเกือบนอกรีต (near-heretical )“ อย่างระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมการตลาด”
ท่ามกลางกระแสต่อต้านการปฏิรูป และกล่าวโทษจากกลุ่มผู้นำคอมมิวนิสต์หัวเก่าว่านโยบายปฏิรูปนำไปสู่การประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยจนต้องมีการปราบปรามอย่างนองเลือดในปี 1989 นั้น เติ้ง เสี่ยวผิงยังยืดหยัดการปฏิรูประบบตลาดต่อไป เดินทางลงใต้ในปี 1992 และได้กล่าวคำที่ทิ่มแทงดวงใจของกลุ่มลัทธิคอมมิวนิสต์หัวเก่า
“ไม่ว่าแมวขาว แมวดำ ตราบเท่าที่มันสามารถจับหนูได้ ก็เป็นแมวที่ดี”
“ความร่ำรวย เป็นเกียรติภูมิ”
ทั้งยืนยันให้เขตเศรษฐกิจพิเศษชายฝั่งมั่งคั่งขึ้นมาก่อนเขตชนบทตอนในของประเทศ ซึ่งเป็นเขตที่ผู้นำเหมา เคยระดมมวลชนก่อการปฏิวัติ
เติ้งอาจไม่เคยจินตนาการไปไกลถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างร้อนแรง ทั้งไม่เคยคิดว่าการปฏิรูปจะสร้างความไม่เท่าเทียมในสังคม ซึ่งขณะนี้ช่องว่างในสังคมจีน ถ่างกว้างมากที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตาม ใน 30 ปีต่อมา ผู้นำจีนก็ต้องขอบคุณการเดิมพันปฏิรูปของชายร่างเล็ก เติ้ง เสี่ยวผิง พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังรักษาอำนาจ และความชอบธรรมในการกุมอำนาจนี้ ก็มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เป็นสำคัญ.
คลิกอ่าน: ครบรอบร้อยปี เติ้งเสี่ยวผิง
ชมภาพชีวิตเติ้ง เสี่ยวผิงบนเส้นทางการนำประเทศจีน ไฟล์ภาพจากเอเอฟพี