โดย เมืองไทยวันนี้ สถานการณ์ปะทะกันระหว่างแนวคิดในการล้อมปราบประชาชนแบบ 6 ตุลาคม กับการต่อสู้กู้ชาติในรูปแบบมาลากันยัง ดังที่ปรากฏในบทความเรื่อง “อย่ากะพริบตา…จะจบแบบไหน?” นั้น ขณะที่ทำบทความนี้ยังไม่รู้ว่าจะคลี่คลายไปในทางไหน
แต่เรื่องราวของแก๊งสี่คนที่เป็นข่าวฮือฮาในวงการเมืองไทยในห้วงเวลาที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะการมีอำนาจ การใช้อำนาจ และการพังพินาศของแก๊งสี่คนนั้นเป็นบทเรียนที่น่าสนใจในทางการเมือง
จึงควรที่จะบอกกล่าวเล่าขานถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เพื่อประดับความรู้และสติปัญญาแก่ท่านผู้มีอุปการคุณในยามว่างๆ
จุดน่าสนใจที่สำคัญของข่าวคราวเรื่องแก๊งสี่คนคือการชิงรักหักสวาท หักเหลี่ยมอำนาจกันระหว่างคนมีเหลี่ยมกับคนไม่มีเหลี่ยม แต่กลมกลิ้งยิ่งกว่าลูกบิลเลียด
เป็นเกมหักเหลี่ยมด้วยเล่ห์กลการเมืองที่ลึกซึ้งผิดกับยุคก่อนๆ ที่ว่ากันซึ่งหน้าหรือแม้มีเหลี่ยมคูบ้างก็เป็นเหลี่ยมคูที่ตื้นเขิน
เรื่องของแก๊งสี่คนเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในแผ่นดินจีน ในช่วงปลายอายุของประธานเหมาเจ๋อตง และหลังจากประธานเหมาเจ๋อตงถึงแก่อสัญกรรมไม่นาน แก๊งสี่คนก็ถูกกวาดล้างอย่างสิ้นซาก หัวโจกของแก๊งสี่คนก็ต้องไปตายในคุกจนหมดสิ้น
เป็นธรรมดาวิสัยโลกที่สังขารทั้งหลายย่อมร่วงโรยไปตามกฎแห่งพระไตรลักษณ์ มีเกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด
ประธานเหมาเจ๋อตงซึ่งชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีนถือว่าเป็นนักลัทธิมาร์กซ์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นบรมครูผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ครั้นเมื่ออายุขัยล่วงเลยไปถึงปัจฉิมวัยก็ป่วยไข้ หูตาก็ฝ้าฟางเป็นธรรมดา
ในยามนั้นกลุ่มคนผู้ใกล้ชิดสี่คน นำโดยเจียงชิง จางชุนเฉียว หวังหงเหวิน และเหยาเหวินหยวน ได้แอบอ้างอำนาจของประธานเหมาเจ๋อตงเข้าควบคุมบัญชาการพรรค กองทัพและรัฐเกือบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มีอำนาจยิ่งกว่าใครในแผ่นดิน
เจียงชิงนั้นมีอำนาจขึ้นเพราะอาศัยความไว้วางใจเนื่องจากเป็นภริยาของเหมาเจ๋อตง อยู่รับใช้ใกล้ชิด รู้กิจการงานทั้งหมดของศูนย์กลางพรรค ในขณะที่จางชุนเฉียวก็เป็นนักทฤษฎี ส่วนหวังหงเหวินและเหยาเหวินหยวนต่างก็เป็นคนรุ่นใหม่ อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันกับคุณเนวิน ชิดชอบ และคุณหมอสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
แก๊งสี่คนของจีนดังกล่าวมักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ เล่นพรรคเล่นพวก เสพสุขเสรี ฉ้อฉลคอร์รัปชัน กำเริบถึงขนาดคิดยึดพรรค ยึดกองทัพ ยึดรัฐ ซึ่งเป็นองค์กรนำสูงสุดของจีน
แก๊งสี่คนแอบอ้างบิดเบือนอำนาจของประธานเหมาเจ๋อตงในทุกเรื่องราว จนเครือข่ายอำนาจของแก๊งสี่คนแผ่ขยายไปปกคลุมแทบทั่วทั้งแผ่นดินจีน สามารถวางคนลงในกลไกอำนาจรัฐอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ
และยังสร้างกองกำลังเยาวชนพิทักษ์แดงหรือที่เรียกว่า Red Guard โดยคบคิดใช้เครือข่ายของจอมพลหลินเปียวซึ่งคิดอ่านวางแผนจะเป็นใหญ่อยู่เหมือนกัน แต่ครั้นหลินเปียววางแผนกบฏแล้วล้มเหลวจึงถึงแก่ชีวิต ภายใต้ข่าวที่ว่าเครื่องบินที่หลบหนีตกถึงแก่ความตายในดินแดนมองโกเลียนอก
หลินเปียวตายแล้วเครือข่ายกองกำลังเยาวชนพิทักษ์แดงก็อยู่ภายใต้อำนาจของแก๊งสี่คนสืบมา กลุ่มเยาวชนพิทักษ์แดงหรือกลุ่ม Red Guard เป็นอย่างไรไม่ต้องอธิบายมาก ให้ดูกลุ่ม นปก. ก็พอเข้าใจได้ไม่ยาก เป็นแต่ว่ากลุ่ม Red Guard นั้นเป็นเยาวชน อายุ 30 ปีลงมา และใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ แต่ไม่มีลักษณะเป็นอันธพาลหรือหยาบช้าลามกแต่ประการใด
ความวุ่นวายเดือดร้อนจึงแผ่ปกคลุมทั่วทั้งแผ่นดินจีน ชาวพรรคคอมมิวนิสต์แท้ทั้งรุ่นอาวุโส รุ่นกลาง และรุ่นใหม่และบรรดาผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีได้ถูกแก๊งสี่คนกวาดล้างทำลายไปเป็นลำดับ
ทว่าประธานเหมาเจ๋อตงนั้นแม้อยู่ในวัยชรา หูตาภายนอกฝ้าฟางก็จริง แต่สติปัญญายังคงแจ่มใสล้ำลึก ยังคงสดับตรับฟังความเป็นไปของบ้านเมืองอย่างใกล้ชิด ด้วยความห่วงใย
ในที่สุดก็กล่าวเตือนกลุ่มแก๊งสี่คนหลายครั้งหลายหน ครั้งสุดท้ายก็เตือนว่าต้องเลิกความมักใหญ่ใฝ่สูง ถ้าไม่เลิกวันหนึ่งฉันตายแล้วพวกเธอจะเดือดร้อน
นี่คือน้ำใจเอื้ออาทรสุดท้ายของประธานเหมาเจ๋อตงต่อคนใกล้ชิดที่ทำผิดและทรยศต่อพรรค ต่อกองทัพและต่อรัฐ แต่แก๊งสี่คนก็หาได้นำพาต่อคำเตือนของประธานเหมาเจ๋อตงไม่ เข้าใจเอาว่าเป็นการพูดพล่ามของคนแก่ หาความหมายและคุณค่าอันใดไม่ได้
จึงแก๊งสี่คนยังคงก่อกรรมทำเข็ญสร้างความแตกแยกและสร้างความพินาศฉิบหายแก่แผ่นดินสืบไปเหมือนดังเดิม และนับวันก็เหิมเกริมมากยิ่งขึ้นเพราะสำคัญว่าเวลายิ่งล่วงนานไปประธานเหมาเจ๋อตงก็เฒ่าชะแลแก่ชราใกล้วาระสุดท้ายเข้าไปทุกที
ประธานเหมาเจ๋อตงรู้ดีว่าคนชั่วนั้นถึงจะตักเตือนห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง แต่การจะกำราบคนชั่วที่มีอำนาจบาตรใหญ่ขนาดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ครั้นจะเพิกเฉยปล่อยทิ้งไว้ก็จะเป็นภัยมหันต์แก่แผ่นดินจีน เพราะมันจะทำลายล้างทุกสิ่งอย่างที่ทั้งชั่วชีวิตของประธานเหมาเจ๋อตงได้สร้างไว้
ดังนั้นบนเตียงนอนขนาดใหญ่เท่ากับขนาดเตียง 6 ฟุตบ้านเราเรียงต่อกัน 3 เตียงภายในทำเนียบจงหนานไห่ ประธานเหมาเจ๋อตงจึงได้ใช้เป็นที่คิดอ่านวางแผนกำจัดแก๊งสี่คน คืนความสงบสุขสู่ประเทศจีน
แผนกำจัดแก๊งสี่คนก็คือแผนการเดียวกันกับแผนการที่จูกัดเหลียงขงเบ้งกำหนดขึ้นเพื่อกำจัดอุยเอี๋ยน นายพลผู้เป็นทหารเสือและทหารเอกของกองทัพเสฉวน ที่ร่วมทัพบุกแคว้นเว่ยกับขงเบ้งในครั้งสุดท้าย
ในครานั้นขงเบ้งป่วยหนัก ทำพิธีต่ออายุก็ไม่สำเร็จ รู้ว่าชะตาสิ้นแล้ว และรู้ด้วยว่าอุยเอี๋ยนจะเป็นกบฏ ทั้งยังห่วงใยอาณาจักรเสฉวนจะล่มสลายในระยะเวลาอันใกล้หลังตัวเองสิ้นบุญ
จึงได้คิดอ่านแผนการเพื่อบรรลุภารกิจสามประการสุดท้าย คือหนึ่ง ต้องถอยทัพโดยปลอดภัยจากการไล่ตามตีของสุมาอี้แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเว่ย สอง ต้องกำจัดอุยเอี๋ยนซึ่งจะเป็นกบฏในยามถอยทัพ และสาม ต้องปกป้องชีวิตของอาณาประชาราษฎรเสฉวนที่ได้บำรุงมาในวาระสุดท้ายที่เสฉวนจะล่มสลาย
แผนถอยทัพโดยปลอดภัยและแผนปกป้องชีวิตชาวเสฉวนในวาระที่เสฉวนหากจะล่มสลายนั้น ท่านผู้ใดสนใจก็ไปค้นคว้าเอาเองจากหนังสือสามก๊กฉบับคนขายชาติของเรืองวิทยาคม
สำหรับแผนกำจัดอุยเอี๋ยนซึ่งขงเบ้งคาดคำนวณแล้วว่าจะก่อกบฏนั้น ขงเบ้งได้กำหนดเป็นสามขั้นตอน
ขั้นตอนแรก สั่งให้ม้าต้ายขุนพลผู้มีฝีมือทำทีเป็นสวามิภักดิ์เข้าด้วยกับอุยเอี๋ยนและให้ประกบตัวอุยเอี๋ยนไว้ กำชับว่าเมื่อใดที่อุยเอี๋ยนแหงนหน้าขึ้นฟ้า ร้องตะโกนว่า “ใครจะบังอาจฆ่ากูได้” ก็ให้เชือดคออุยเอี๋ยนเสีย เพราะคนในลักษณะอาการเช่นนั้นจะไม่ทันสังเกตและระวังตน
ขั้นตอนที่สอง ตั้งให้เอียวหงีเป็นแม่ทัพแทนตัว และให้ถอยทัพทั้งหมดทันทีที่ขงเบ้งถึงแก่ความตาย ยกเว้นกองหน้าที่อุยเอี๋ยนคุมอยู่ อย่าได้แย้มพรายการถอยทัพให้รู้เป็นอันขาด ในการถอยทัพให้กลับกองหลังเป็นกองหน้า แต่อย่าให้แต่งกายไว้ทุกข์
ขั้นตอนที่สาม กำหนดแผนการว่าเมื่อการถอยทัพพ้นจากการติดตามของกองทัพสุมาอี้แล้ว ก็ให้ไปตั้งหลักอยู่ในเมืองในระหว่างเส้นทาง ปิดประตูเมืองให้หมด ซึ่งอุยเอี๋ยนจะยกทัพตามมา และถ้าอุยเอี๋ยนติดตามมาถึงก็ให้เอียวหงีกล่าวกับอุยเอี๋ยนว่าไม่แน่ใจว่าใครจะเป็นผู้นำทัพ ดังนั้นถ้าอุยเอี๋ยนอยากเป็นผู้นำทัพต่อไป ก็ให้ร้องตะโกนขึ้นฟ้าว่า “ใครจะบังอาจฆ่ากูได้” ครบสามคราแล้วเอียวหงีก็จะยอมสวามิภักดิ์และมอบกองทัพให้อุยเอี๋ยนควบคุม
เหตุการณ์เป็นไปตามคาดหมายและแผนการที่วางไว้ พออุยเอี๋ยนร้องตะโกนขึ้นฟ้าว่า “ใครจะบังอาจฆ่ากูได้” ม้าต้ายก็เชือดคออุยเอี๋ยนเสีย ทำให้กองทัพเสฉวนล่าถอยทัพกลับฮันต๋งได้โดยปลอดภัย
ประธานเหมาเจ๋อตงได้นำแผนการนี้มาใช้ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต และวางแผนเป็นขั้นตอนคือ
หนึ่ง สั่งให้จอมพลเย่เจี้ยนอิงประธานคณะกรรมการการทหารกลางทำทีเป็นเข้าด้วยแก๊งสี่คน แล้วกำชับว่าถ้าถึงคราวคับขันให้ฟังคำสั่งเติ้งเสี่ยวผิง และเมื่อตกลงประการใดก็ให้ปรึกษากับผู้บัญชาการกรมองครักษ์พิทักษ์ศูนย์กลาง ซึ่งถ้าหากจำชื่อไม่ผิดก็คือคังเซินซึ่งเป็นคนสนิทที่ประธานเหมาเจ๋อตงไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่ง
สอง แจ้งความประสงค์เป็นการลับไปยังเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ภายใต้การควบคุมของแก๊งสี่คน ไม่มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ ว่าสืบไปภายหน้าให้ช่วยดูแลบ้านเมือง หากถึงคราวคับขันแล้วจะคิดอ่านทำประการใดก็ให้บอกกล่าวกับจอมพลเย่เจี้ยนอิง
สาม สั่งการกับผู้บัญชาการกรมองครักษ์พิทักษ์ศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยทหาร 8341 ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดว่าให้กระชับความพร้อมอยู่เสมอ และในวาระคับขันให้ฟังคำสั่งจอมพลเย่เจี้ยนอิง
หลังประธานเหมาถึงแก่อสัญกรรม แก๊งสี่คนก็เดินหน้ายึดครองอำนาจพรรค กองทัพ และรัฐ สร้างกรรมทำเข็ญอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ภายใต้ข้ออ้างการปฏิวัติวัฒนธรรมที่ได้เริ่มมาก่อนแล้วตามที่ประธานเหมาเจ๋อตงได้คาดการณ์ไว้
ความเดือดร้อนทุกข์เข็ญแผ่ไปทุกหย่อมหญ้า ความสับสนอลหม่านเกิดขึ้นทั่วทั้งพรรค กองทัพและรัฐ แผ่นดินจีนใกล้จะเป็นจลาจลเข้าไปทุกที
เติ้งเสี่ยวผิงจึงเชิญจอมพลเย่เจี้ยนอิงมาปรึกษาสถานการณ์บ้านเมือง แล้วบอกจอมพลเย่เจี้ยนอิงว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจแก้ไขได้โดยทางอื่นอีกแล้ว จำเป็นต้องยึดอำนาจของแก๊งสี่คน คืนความสงบสุขสู่แผ่นดินจีน จึงจะพิทักษ์รักษาพรรค กองทัพและรัฐเอาไว้ได้
เติ้งเสี่ยวผิงวิงวอนให้จอมพลเย่เจี้ยนอิงเห็นแก่พรรค จอมพลเย่เจี้ยนอิงจึงได้แจ้งให้เติ้งเสี่ยวผิงทราบว่าก่อนอสัญกรรม ประธานเหมาเจ๋อตงก็ได้สั่งการเอาไว้แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนั้น จอมพลเย่เจี้ยนอิงจึงประสานกับผู้บังคับบัญชาของกองทัพปลดแอกที่คุ้นเคยหลายคนให้เตรียมพร้อม แล้วเข้าไปแจ้งความประสงค์ให้ผู้บัญชากรมองครักษ์พิทักษ์ศูนย์กลางพรรคทราบ
ด้วยเหตุนี้ กรมองครักษ์พิทักษ์ศูนย์กลาง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนจึงเป็นหน่วยแรกที่เข้าควบคุมตัวแก๊งสี่คน และกองทัพปลดแอกประชาชนก็ได้ยึดอำนาจกลับคืนจากแก๊งสี่คน จากนั้นการกวาดล้างอำนาจและอิทธิพลของแก๊งสี่คนในแผ่นดินจีนจึงเกิดขึ้นอย่างขุดรากถอนโคน ทำให้แผ่นดินจีนเป็นสุข มาถึงทุกวันนี้
สถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้จึงต้องสังเกตติดตามดูกันให้ดีว่าใครคือผู้รับบทบาทจอมพลเย่เจี้ยนอิงหรือเอียวหงี ใครรับบทผู้บัญชาการกรมองครักษ์พิทักษ์ศูนย์กลางหรือม้าต้าย และใครเล่าที่กำลังเล่นบทอุยเอี๋ยนหรือบทเจียงชิง จางชุนเฉียว หวังหงเหวิน และเหยาเหวินหยวนอยู่
ยุคสมัยที่การเมืองไทยจะเล่นกันซึ่งหน้า เอามากเข้าตีน้อย เอาแข็งเข้าตีอ่อน ผ่านพ้นไปแล้ว มันกำลังเข้าสู่ยุคของการใช้เล่ห์กลอุบายและความเก๋าเกมการเมือง ซึ่งหากตามไม่ทันก็จะหลงทิศผิดทาง แล้วจะตุปัดตุเป๋กลายเป็นคนเมาสุราไปได้โดยง่าย!
แต่เรื่องราวของแก๊งสี่คนที่เป็นข่าวฮือฮาในวงการเมืองไทยในห้วงเวลาที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะการมีอำนาจ การใช้อำนาจ และการพังพินาศของแก๊งสี่คนนั้นเป็นบทเรียนที่น่าสนใจในทางการเมือง
จึงควรที่จะบอกกล่าวเล่าขานถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เพื่อประดับความรู้และสติปัญญาแก่ท่านผู้มีอุปการคุณในยามว่างๆ
จุดน่าสนใจที่สำคัญของข่าวคราวเรื่องแก๊งสี่คนคือการชิงรักหักสวาท หักเหลี่ยมอำนาจกันระหว่างคนมีเหลี่ยมกับคนไม่มีเหลี่ยม แต่กลมกลิ้งยิ่งกว่าลูกบิลเลียด
เป็นเกมหักเหลี่ยมด้วยเล่ห์กลการเมืองที่ลึกซึ้งผิดกับยุคก่อนๆ ที่ว่ากันซึ่งหน้าหรือแม้มีเหลี่ยมคูบ้างก็เป็นเหลี่ยมคูที่ตื้นเขิน
เรื่องของแก๊งสี่คนเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในแผ่นดินจีน ในช่วงปลายอายุของประธานเหมาเจ๋อตง และหลังจากประธานเหมาเจ๋อตงถึงแก่อสัญกรรมไม่นาน แก๊งสี่คนก็ถูกกวาดล้างอย่างสิ้นซาก หัวโจกของแก๊งสี่คนก็ต้องไปตายในคุกจนหมดสิ้น
เป็นธรรมดาวิสัยโลกที่สังขารทั้งหลายย่อมร่วงโรยไปตามกฎแห่งพระไตรลักษณ์ มีเกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด
ประธานเหมาเจ๋อตงซึ่งชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีนถือว่าเป็นนักลัทธิมาร์กซ์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นบรมครูผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ครั้นเมื่ออายุขัยล่วงเลยไปถึงปัจฉิมวัยก็ป่วยไข้ หูตาก็ฝ้าฟางเป็นธรรมดา
ในยามนั้นกลุ่มคนผู้ใกล้ชิดสี่คน นำโดยเจียงชิง จางชุนเฉียว หวังหงเหวิน และเหยาเหวินหยวน ได้แอบอ้างอำนาจของประธานเหมาเจ๋อตงเข้าควบคุมบัญชาการพรรค กองทัพและรัฐเกือบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มีอำนาจยิ่งกว่าใครในแผ่นดิน
เจียงชิงนั้นมีอำนาจขึ้นเพราะอาศัยความไว้วางใจเนื่องจากเป็นภริยาของเหมาเจ๋อตง อยู่รับใช้ใกล้ชิด รู้กิจการงานทั้งหมดของศูนย์กลางพรรค ในขณะที่จางชุนเฉียวก็เป็นนักทฤษฎี ส่วนหวังหงเหวินและเหยาเหวินหยวนต่างก็เป็นคนรุ่นใหม่ อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันกับคุณเนวิน ชิดชอบ และคุณหมอสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
แก๊งสี่คนของจีนดังกล่าวมักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ เล่นพรรคเล่นพวก เสพสุขเสรี ฉ้อฉลคอร์รัปชัน กำเริบถึงขนาดคิดยึดพรรค ยึดกองทัพ ยึดรัฐ ซึ่งเป็นองค์กรนำสูงสุดของจีน
แก๊งสี่คนแอบอ้างบิดเบือนอำนาจของประธานเหมาเจ๋อตงในทุกเรื่องราว จนเครือข่ายอำนาจของแก๊งสี่คนแผ่ขยายไปปกคลุมแทบทั่วทั้งแผ่นดินจีน สามารถวางคนลงในกลไกอำนาจรัฐอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ
และยังสร้างกองกำลังเยาวชนพิทักษ์แดงหรือที่เรียกว่า Red Guard โดยคบคิดใช้เครือข่ายของจอมพลหลินเปียวซึ่งคิดอ่านวางแผนจะเป็นใหญ่อยู่เหมือนกัน แต่ครั้นหลินเปียววางแผนกบฏแล้วล้มเหลวจึงถึงแก่ชีวิต ภายใต้ข่าวที่ว่าเครื่องบินที่หลบหนีตกถึงแก่ความตายในดินแดนมองโกเลียนอก
หลินเปียวตายแล้วเครือข่ายกองกำลังเยาวชนพิทักษ์แดงก็อยู่ภายใต้อำนาจของแก๊งสี่คนสืบมา กลุ่มเยาวชนพิทักษ์แดงหรือกลุ่ม Red Guard เป็นอย่างไรไม่ต้องอธิบายมาก ให้ดูกลุ่ม นปก. ก็พอเข้าใจได้ไม่ยาก เป็นแต่ว่ากลุ่ม Red Guard นั้นเป็นเยาวชน อายุ 30 ปีลงมา และใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ แต่ไม่มีลักษณะเป็นอันธพาลหรือหยาบช้าลามกแต่ประการใด
ความวุ่นวายเดือดร้อนจึงแผ่ปกคลุมทั่วทั้งแผ่นดินจีน ชาวพรรคคอมมิวนิสต์แท้ทั้งรุ่นอาวุโส รุ่นกลาง และรุ่นใหม่และบรรดาผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีได้ถูกแก๊งสี่คนกวาดล้างทำลายไปเป็นลำดับ
ทว่าประธานเหมาเจ๋อตงนั้นแม้อยู่ในวัยชรา หูตาภายนอกฝ้าฟางก็จริง แต่สติปัญญายังคงแจ่มใสล้ำลึก ยังคงสดับตรับฟังความเป็นไปของบ้านเมืองอย่างใกล้ชิด ด้วยความห่วงใย
ในที่สุดก็กล่าวเตือนกลุ่มแก๊งสี่คนหลายครั้งหลายหน ครั้งสุดท้ายก็เตือนว่าต้องเลิกความมักใหญ่ใฝ่สูง ถ้าไม่เลิกวันหนึ่งฉันตายแล้วพวกเธอจะเดือดร้อน
นี่คือน้ำใจเอื้ออาทรสุดท้ายของประธานเหมาเจ๋อตงต่อคนใกล้ชิดที่ทำผิดและทรยศต่อพรรค ต่อกองทัพและต่อรัฐ แต่แก๊งสี่คนก็หาได้นำพาต่อคำเตือนของประธานเหมาเจ๋อตงไม่ เข้าใจเอาว่าเป็นการพูดพล่ามของคนแก่ หาความหมายและคุณค่าอันใดไม่ได้
จึงแก๊งสี่คนยังคงก่อกรรมทำเข็ญสร้างความแตกแยกและสร้างความพินาศฉิบหายแก่แผ่นดินสืบไปเหมือนดังเดิม และนับวันก็เหิมเกริมมากยิ่งขึ้นเพราะสำคัญว่าเวลายิ่งล่วงนานไปประธานเหมาเจ๋อตงก็เฒ่าชะแลแก่ชราใกล้วาระสุดท้ายเข้าไปทุกที
ประธานเหมาเจ๋อตงรู้ดีว่าคนชั่วนั้นถึงจะตักเตือนห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง แต่การจะกำราบคนชั่วที่มีอำนาจบาตรใหญ่ขนาดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ครั้นจะเพิกเฉยปล่อยทิ้งไว้ก็จะเป็นภัยมหันต์แก่แผ่นดินจีน เพราะมันจะทำลายล้างทุกสิ่งอย่างที่ทั้งชั่วชีวิตของประธานเหมาเจ๋อตงได้สร้างไว้
ดังนั้นบนเตียงนอนขนาดใหญ่เท่ากับขนาดเตียง 6 ฟุตบ้านเราเรียงต่อกัน 3 เตียงภายในทำเนียบจงหนานไห่ ประธานเหมาเจ๋อตงจึงได้ใช้เป็นที่คิดอ่านวางแผนกำจัดแก๊งสี่คน คืนความสงบสุขสู่ประเทศจีน
แผนกำจัดแก๊งสี่คนก็คือแผนการเดียวกันกับแผนการที่จูกัดเหลียงขงเบ้งกำหนดขึ้นเพื่อกำจัดอุยเอี๋ยน นายพลผู้เป็นทหารเสือและทหารเอกของกองทัพเสฉวน ที่ร่วมทัพบุกแคว้นเว่ยกับขงเบ้งในครั้งสุดท้าย
ในครานั้นขงเบ้งป่วยหนัก ทำพิธีต่ออายุก็ไม่สำเร็จ รู้ว่าชะตาสิ้นแล้ว และรู้ด้วยว่าอุยเอี๋ยนจะเป็นกบฏ ทั้งยังห่วงใยอาณาจักรเสฉวนจะล่มสลายในระยะเวลาอันใกล้หลังตัวเองสิ้นบุญ
จึงได้คิดอ่านแผนการเพื่อบรรลุภารกิจสามประการสุดท้าย คือหนึ่ง ต้องถอยทัพโดยปลอดภัยจากการไล่ตามตีของสุมาอี้แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเว่ย สอง ต้องกำจัดอุยเอี๋ยนซึ่งจะเป็นกบฏในยามถอยทัพ และสาม ต้องปกป้องชีวิตของอาณาประชาราษฎรเสฉวนที่ได้บำรุงมาในวาระสุดท้ายที่เสฉวนจะล่มสลาย
แผนถอยทัพโดยปลอดภัยและแผนปกป้องชีวิตชาวเสฉวนในวาระที่เสฉวนหากจะล่มสลายนั้น ท่านผู้ใดสนใจก็ไปค้นคว้าเอาเองจากหนังสือสามก๊กฉบับคนขายชาติของเรืองวิทยาคม
สำหรับแผนกำจัดอุยเอี๋ยนซึ่งขงเบ้งคาดคำนวณแล้วว่าจะก่อกบฏนั้น ขงเบ้งได้กำหนดเป็นสามขั้นตอน
ขั้นตอนแรก สั่งให้ม้าต้ายขุนพลผู้มีฝีมือทำทีเป็นสวามิภักดิ์เข้าด้วยกับอุยเอี๋ยนและให้ประกบตัวอุยเอี๋ยนไว้ กำชับว่าเมื่อใดที่อุยเอี๋ยนแหงนหน้าขึ้นฟ้า ร้องตะโกนว่า “ใครจะบังอาจฆ่ากูได้” ก็ให้เชือดคออุยเอี๋ยนเสีย เพราะคนในลักษณะอาการเช่นนั้นจะไม่ทันสังเกตและระวังตน
ขั้นตอนที่สอง ตั้งให้เอียวหงีเป็นแม่ทัพแทนตัว และให้ถอยทัพทั้งหมดทันทีที่ขงเบ้งถึงแก่ความตาย ยกเว้นกองหน้าที่อุยเอี๋ยนคุมอยู่ อย่าได้แย้มพรายการถอยทัพให้รู้เป็นอันขาด ในการถอยทัพให้กลับกองหลังเป็นกองหน้า แต่อย่าให้แต่งกายไว้ทุกข์
ขั้นตอนที่สาม กำหนดแผนการว่าเมื่อการถอยทัพพ้นจากการติดตามของกองทัพสุมาอี้แล้ว ก็ให้ไปตั้งหลักอยู่ในเมืองในระหว่างเส้นทาง ปิดประตูเมืองให้หมด ซึ่งอุยเอี๋ยนจะยกทัพตามมา และถ้าอุยเอี๋ยนติดตามมาถึงก็ให้เอียวหงีกล่าวกับอุยเอี๋ยนว่าไม่แน่ใจว่าใครจะเป็นผู้นำทัพ ดังนั้นถ้าอุยเอี๋ยนอยากเป็นผู้นำทัพต่อไป ก็ให้ร้องตะโกนขึ้นฟ้าว่า “ใครจะบังอาจฆ่ากูได้” ครบสามคราแล้วเอียวหงีก็จะยอมสวามิภักดิ์และมอบกองทัพให้อุยเอี๋ยนควบคุม
เหตุการณ์เป็นไปตามคาดหมายและแผนการที่วางไว้ พออุยเอี๋ยนร้องตะโกนขึ้นฟ้าว่า “ใครจะบังอาจฆ่ากูได้” ม้าต้ายก็เชือดคออุยเอี๋ยนเสีย ทำให้กองทัพเสฉวนล่าถอยทัพกลับฮันต๋งได้โดยปลอดภัย
ประธานเหมาเจ๋อตงได้นำแผนการนี้มาใช้ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต และวางแผนเป็นขั้นตอนคือ
หนึ่ง สั่งให้จอมพลเย่เจี้ยนอิงประธานคณะกรรมการการทหารกลางทำทีเป็นเข้าด้วยแก๊งสี่คน แล้วกำชับว่าถ้าถึงคราวคับขันให้ฟังคำสั่งเติ้งเสี่ยวผิง และเมื่อตกลงประการใดก็ให้ปรึกษากับผู้บัญชาการกรมองครักษ์พิทักษ์ศูนย์กลาง ซึ่งถ้าหากจำชื่อไม่ผิดก็คือคังเซินซึ่งเป็นคนสนิทที่ประธานเหมาเจ๋อตงไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่ง
สอง แจ้งความประสงค์เป็นการลับไปยังเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ภายใต้การควบคุมของแก๊งสี่คน ไม่มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ ว่าสืบไปภายหน้าให้ช่วยดูแลบ้านเมือง หากถึงคราวคับขันแล้วจะคิดอ่านทำประการใดก็ให้บอกกล่าวกับจอมพลเย่เจี้ยนอิง
สาม สั่งการกับผู้บัญชาการกรมองครักษ์พิทักษ์ศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยทหาร 8341 ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดว่าให้กระชับความพร้อมอยู่เสมอ และในวาระคับขันให้ฟังคำสั่งจอมพลเย่เจี้ยนอิง
หลังประธานเหมาถึงแก่อสัญกรรม แก๊งสี่คนก็เดินหน้ายึดครองอำนาจพรรค กองทัพ และรัฐ สร้างกรรมทำเข็ญอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ภายใต้ข้ออ้างการปฏิวัติวัฒนธรรมที่ได้เริ่มมาก่อนแล้วตามที่ประธานเหมาเจ๋อตงได้คาดการณ์ไว้
ความเดือดร้อนทุกข์เข็ญแผ่ไปทุกหย่อมหญ้า ความสับสนอลหม่านเกิดขึ้นทั่วทั้งพรรค กองทัพและรัฐ แผ่นดินจีนใกล้จะเป็นจลาจลเข้าไปทุกที
เติ้งเสี่ยวผิงจึงเชิญจอมพลเย่เจี้ยนอิงมาปรึกษาสถานการณ์บ้านเมือง แล้วบอกจอมพลเย่เจี้ยนอิงว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจแก้ไขได้โดยทางอื่นอีกแล้ว จำเป็นต้องยึดอำนาจของแก๊งสี่คน คืนความสงบสุขสู่แผ่นดินจีน จึงจะพิทักษ์รักษาพรรค กองทัพและรัฐเอาไว้ได้
เติ้งเสี่ยวผิงวิงวอนให้จอมพลเย่เจี้ยนอิงเห็นแก่พรรค จอมพลเย่เจี้ยนอิงจึงได้แจ้งให้เติ้งเสี่ยวผิงทราบว่าก่อนอสัญกรรม ประธานเหมาเจ๋อตงก็ได้สั่งการเอาไว้แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนั้น จอมพลเย่เจี้ยนอิงจึงประสานกับผู้บังคับบัญชาของกองทัพปลดแอกที่คุ้นเคยหลายคนให้เตรียมพร้อม แล้วเข้าไปแจ้งความประสงค์ให้ผู้บัญชากรมองครักษ์พิทักษ์ศูนย์กลางพรรคทราบ
ด้วยเหตุนี้ กรมองครักษ์พิทักษ์ศูนย์กลาง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนจึงเป็นหน่วยแรกที่เข้าควบคุมตัวแก๊งสี่คน และกองทัพปลดแอกประชาชนก็ได้ยึดอำนาจกลับคืนจากแก๊งสี่คน จากนั้นการกวาดล้างอำนาจและอิทธิพลของแก๊งสี่คนในแผ่นดินจีนจึงเกิดขึ้นอย่างขุดรากถอนโคน ทำให้แผ่นดินจีนเป็นสุข มาถึงทุกวันนี้
สถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้จึงต้องสังเกตติดตามดูกันให้ดีว่าใครคือผู้รับบทบาทจอมพลเย่เจี้ยนอิงหรือเอียวหงี ใครรับบทผู้บัญชาการกรมองครักษ์พิทักษ์ศูนย์กลางหรือม้าต้าย และใครเล่าที่กำลังเล่นบทอุยเอี๋ยนหรือบทเจียงชิง จางชุนเฉียว หวังหงเหวิน และเหยาเหวินหยวนอยู่
ยุคสมัยที่การเมืองไทยจะเล่นกันซึ่งหน้า เอามากเข้าตีน้อย เอาแข็งเข้าตีอ่อน ผ่านพ้นไปแล้ว มันกำลังเข้าสู่ยุคของการใช้เล่ห์กลอุบายและความเก๋าเกมการเมือง ซึ่งหากตามไม่ทันก็จะหลงทิศผิดทาง แล้วจะตุปัดตุเป๋กลายเป็นคนเมาสุราไปได้โดยง่าย!