เอเจนซี--คณะมุขมนตรี หรือคณะรัฐบาลจีน จะเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนร้อยละ 17 ในปีหน้า ในการดำเนินนโยบายอัดฉีดเงินกู้ 14,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ พร้อมเรียกร้องให้สถาบันการเงินปล่อยกู้มากขึ้น เพื่อขยายการบริโภคภายใน รับมือวิกฤตการเงินในปีหน้า
แถลงการณ์คณะมุขมนตรีจีนที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ในวันอาทิตย์(13 ธ.ค.) ระบุว่า คณะมุขมนตรีเรียกร้องให้มีการเพิ่มปริมาณเงิน M2 ในปี 2009 ซึ่งได้แก่ ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในมือประชาชน นอกจากประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ในมือประชาชนและเงินฝากเผื่อเรียกแล้ว ยังรวมเงินฝากประจำและออมทรัพย์ที่ระบบธนาคารอีกด้วย
ในแถลงการณ์ยังระบุเรียกร้องการอัดฉีดทุนให้แก่กลุ่มธนาคารนโยบายของจีน 1 แสนล้านหยวน (14,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และขยายการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน มากกว่า 4 ล้านล้านหยวน (584,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ในปีหน้า
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สื่อรัฐจีนเผยว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์จีน ต้องการปล่อยสินเชื่ออีก 4.6 ล้านล้านหยวนในปี 2009 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าในปี 2008 ร้อยละ 15
มาตรการดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของ “นโยบายการคลัง และนโยบายผ่อนปรนด้านการเงินที่ยืดหยุ่นอย่างเหมาะสม เพื่อกระตุ้นความต้องการภายใน” ซึ่งนโยบายเหล่านี้ ผ่านการรับรองจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนแล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นอกจากนี้ คณะมุขมนตรียังบอกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ จะต้องต่ำลงอีก และปล่อยอัตราแลกเปลี่ยนให้มีความยืดหยุ่นสูงขึ้น
นับวันผู้นำจีนได้แสดงความวิตกมากยิ่งขึ้นต่อผลกระทบจากวิกฤตการเงิน รัฐบาลได้ประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ มูลค่าถึง 4 ล้านล้านหยวน และมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยหลายระลอก
กระทรวงการคลังถึงกับได้เสนอปล่อยให้ยอดเกินดุลงบประมาณในปี 2009 พองขึ้นถึง 280,000 ล้านหยวน (40,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) สูงขึ้นร้อยละ 56 จากปีนี้ เพื่อช่วยรักษาการเติบโต
ทั้งนี้ หลิว หมิงคัง ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลภาคธนาคารจีน เผยในวันเสาร์(13 ธ.ค.) ว่าจีนตั้งเป้าอัตราเติบโตในปีหน้า ที่ร้อยละ 8 แต่ยอมรับเศรษฐกิจจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับสี่ของโลก กำลังเผชิญปัญหาที่หนักหนา ที่รวมทั้งภาวะราคาตกต่ำ และเงินทุนไหลออก
“สถานการณ์การเงิน และเศรษฐกิจจีน ดูไม่สดใสเลย ธนาคารจีนจะเผชิญปัญหาใหญ่ในปี 2009 และหากจีดีพี ตกลงมาที่ร้อยละ 6-7 จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อคุณภาพการพัฒนา”
สามผู้นำชาติอำนาจเอเชียจับมือสู้ศึกเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ก็ได้เดินสายหาหนทางในการรับมือวิกฤตการเงินโลกครั้งนี้ โดยได้เข้าร่วมประชุมสุดยอดตรีภาคีของกลุ่มเอเชียเหนือครั้งประวัติการณ์ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติคิวชู ดาไซฟุ ประเทศญี่ปุ่นในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกฯเวินได้จับมือร่วมกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ทาโร อาโซะ และประธานาธิบดีแห่งเกาหลีใต้ ลีเมียงบัค ยืนยันความสำคัญการขยายความต้องการในการสู้ศึกเศรษฐกิจครั้งนี้ ทั้งสามประกาศคำมั่นว่าจะไม่สร้างกำแพงการค้าใหม่ใน 12 เดือนข้างหน้า และจะสนับสนุนเครือข่ายแลกเปลี่ยนเงินตรา (currency swaps)ในภูมิภาค.
