เอเจนซี-คณะกรรมการเงินรัฐสภาจีนออกโรงชี้ภาวะเงินเฟ้อของประเทศกำลังตกอยู่ในอันตรายที่น่ากลัว และรัฐบาลควรแก้ปัญหาโดยใช้มาตรการปล่อยเสรีราคาน้ำมันและพลังงานเพื่อลดความเสี่ยง พร้อมชี้ถึงประเด็นร้อนภาคส่งออก แนะนำให้มีการปรับนโยบายส่งออกของเล่นและเสื้อผ้า เพื่อป้องกันการล้มครืนของภาคส่งออก ทั้งนี้ จากรายงาน คณะกรรมการการเงินแห่งสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติหรือรัฐสภาจีนที่เผยแพร่ผ่านสำนักข่าวซินหัวเมื่อวันพุธ(23 ก.ค.)
รายงานได้ระบุสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ กำลังเปลี่ยนจาก “สภาพอัตราเติบโตสูงและเงินเฟ้อต่ำ ไปสู่สภาพอัตราเติบโตสูงและเงินเฟ้อสูง หรืออาจถึงกับเข้าสู่สภาพ อัตราเติบโตต่ำและเงินเฟ้อสูง”
อย่างไรก็ตาม ในรายงานไม่ได้เสนอชัดเจนเรื่องจังหวะเวลาในการเปลี่ยนแปลง แต่ได้ย้ำว่านโยบายปัจจุบันของรัฐบาลที่จงใจกดราคาสินค้าให้ต่ำเข้าไว้ด้วยการกำหนดเพดานราคานั้น มีแต่ทำให้ปัญหาเงินเฟ้อยิ่งแย่ลงในระยะยาว พร้อมตำหนิว่ามาตรการราคานี้ เป็นเครื่องมือที่ไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ
การปล่อยเสรีราคาน้ำมันและไฟฟ้า จะช่วยหยุดยั้งเงินเฟ้อ เนื่องจากมันจะไปตัดลดความต้องการ(อุปสงค์) แม้ว่ามาตรการดังกล่าวจะโหมกระพือเงินเฟ้อมากขึ้นในระยะสั้นก็ตาม
ด้านปัญหาส่งออก รายงานก็ได้ชี้ว่านโยบายของรัฐบาลที่มุ่งสกัดการส่งออกสินค้าที่สร้างมลพิษ และสร้างสมดุลการค้านั้น มาอย่างผิดจังหวะเวลา เนื่องจากเป็นจังหวะภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป
“เราแนะนำให้ใช้นโยบายใหม่ในภาคการค้าเพื่อรักษานโยบายที่เสถียร และช่วยกลุ่มผู้ส่งออกได้มีเวลาหายใจ และป้องกันผลกระทบใหญ่ที่อาจเกิดกับภาคส่งออก”
นอกจากนี้ รายงานยังได้ชี้เพิ่มเติมว่าให้ยังคงรักษานโยบายคุมเข้มการเงินและนโยบายคลังแบบระมัดระวัง แต่ก็ให้ “มีความยืดหยุ่น” ระหว่างการดำเนินนโยบาย
ทั้งนี้ รายงานดังกล่าว ได้เขียนขึ้นเมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยอ้างตัวเลขเศรษฐกิจของช่วงห้าเดือนแรก ซึ่งมิได้อ้างตัวแรกเศรษฐกิจ 6 เดือนแรกในวันพฤหัสฯ(17 ก.ค.)
ปรับปรุงการจัดการเงินหยวน
คณะกรรมการการเงินยังได้เสนอให้รัฐบาลจีนปรับปรุงมาตรการจัดการอัตราแลกเปลี่ยนหยวนที่ดีกว่านี้ เพื่อหยุดยั้งกระแสเงินร้อนที่ไหลทะลักเข้ามา และกำลังเป็นภัยคุกคามเศรษฐกิจ สร้างความวุ่นวายในตลาดเงิน โดยจะต้องหยุดกระแสคาดการณ์ค่าเงินหยวน
การทะลักเข้ามาของกลุ่มทุนเก็งกำไร จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อ และทำลายเสถียรภาพระบบการเงินเมื่อเกิดกระแสเงินไหลออกอย่างฉับพลัน ทั้งนี้ มาตรการล่าสุดที่รัฐบาลงัดออกมาใช้สำหรับสกัดเงินร้อนในวันที่ 18 ก.ค. ได้แก่ การคุมเข้มภาคลงทุนระหว่างประเทศโดยจะเพ็งเล็งไปที่การควบรวมและการเข้าซื้อกิจการในประเทศจีนของกลุ่มลงทุนต่างแดน
เศรษฐกรจากมูดี้ส์ อีโคโนมิก ด็อท คอมนาย Sherman Chan เห็นพ้องว่า สิ่งจำเป็นในเวลานี้คือรัฐบาลต้องควบคุมกระแสคาดการณ์ที่ว่าหยวนจะแข็งค่าขึ้นต่อไปอย่างสม่ำเสมอ และวิธีหนึ่งที่น่าใช้ก็คือ การปรับค่าหยวน
ในปีนี้ อันตราแลกเปลี่ยนหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐได้ปรับขึ้นร้อยละ 7 และได้แข็งค่าขึ้นรวมร้อยละ 21 นับตั้งแต่จีนเลิกตรึงอัตราแลกเปลี่ยนในปี 2005
นายDonald Straszheim รองประธาน Roth Capital ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุนที่ศึกษาเฉพาะด้านด้านตลาดเกิดใหม่ ชี้เป็นที่คาดว่ากระแสเงินไหลเข้าอย่างผิดกฎหมาย จะเท่ากับ 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในครึ่งปีหลัง ลดลงมาหน่อยจากครึ่งปีแรกที่ได้ทะยานถึง 162,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
“ตราบเท่าที่กิจกรรมเก็งกำไรอย่างกฎหมายยังอยู่ในระดับสูง รัฐบาลก็ไม่อาจแก้ปัญหาได้” Straszheim ระบุในรายงานที่เขาเขียนซึ่งเผยแพร่ในวันพุธ(23 ก.ค.)เช่นกัน
ทั้งนี้ เงินในคลังทุนสำรองสกุลเงินตราต่างประเทศจีนก็ขยายตัวร้อยละ 36 เท่ากับ 1.81 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในวันที่ 30 มิ.ย. เทียบกับปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ รายงายังได้ชี้ถึงประเด็นร้อนที่กำลังถกเถียงกันระหว่างผู้นำได้แก่ ภาคการส่งออก สืบเนื่องจากขณะนี้การส่งออกสินค้าไปยังต่างแดนของจีนขยายตัวร้อยละ 17.6 จัดเป็นสถิติที่ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน และได้เสนอว่านโยบายการค้าควรจะมุ่งช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงาน อย่างเช่นของเล่นและเสื้อผ้า
ในวันที่ 14 ก.ค. เจ้าหน้าที่ที่ไม่ระบุนามในกระทรวงพาณิชย์เผยว่าทางกระทรวงกำลังกระตุ้นให้คณะมุขมนตรีหรือรัฐบาลจีน ควบคุมการขึ้นค่าเงินและเพิ่มอัตราคืนภาษีส่งออก
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว(พฤหัสฯ 17 ก.ค.) สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานอัตราเงินเฟ้อจีนลดลง เท่ากับร้อยละ 7.1 แต่ก็ยังจัดเป็นระดับที่ “ค่อนข้างสูง” ขณะที่ประเทศกำลังเผชิญแรงกดดันแนวโน้มราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านต่างๆสูงขึ้น ได้แก่ พลังงาน พืชผลธัญหาร และวัตถุดิบอุตสาหกรรม ซึ่งนายหลี่ เสี่ยวเชาโฆษกสำนักงานสถิติก็แถลงยอมรับว่า “จีนยังคงเผชิญหน้าแรงกดดันจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น”
ขณะนี้ แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนกำลังบ่ายหน้าชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง ขณะที่การขยายตัวภาคส่งออก การลงทุน และการบริโภคเติบโตอย่างปานกลาง ส่วนการลงทุนภาคสินทรัพย์ถาวรอาจขยายตัวร้อยละ 15
จีดีพีจีนโตขยายร้อยละ 10.1 ในไตรมาส2 หลังจากที่ได้เติบโตร้อยละ 10.6 ในช่วงสามเดือนแรก รายงานชี้ว่า เศรษฐกิจจีนปีนี้จะโตในระดับร้อยละ 10 ตามที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าไว้ สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคสูงร้อยละ 7.1 ในเดือนมิถุนายน ตกลงมาจากระดับร้อยละ 8.7 ของเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งทุบสถิติในรอบเกือบ 12 ปี
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวพีเพิล เดลีของจีนได้รายงานคำกล่าวนายหลี่ หยางผู้อำนวยการสำนักวิจัยการเงิน สังกัดบัณฑิตสถานด้านสังคมศาสตร์จีนที่ระบุเมื่อวันพุธ (23 ก.ค.) ว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าราคาโครงสร้างราคาสินค้าจีนจะสูงขึ้น แต่เมื่อมองในระยะยาวแล้ว เงินเฟ้อของจีนจะไม่ใช่เงินเฟ้อระยะยาวนัก แต่จะขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากเงินออมในระบบของจีนยังมีสูงอยู่ และอุปทานก็ยังมากกว่าอุปสงค์
นอกจากนั้นหลี่ได้ชี้ว่า การที่ราคาน้ำมันที่แพงขึ้น บวกกับเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงจะมีส่วนผลักดันให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น แต่ก็คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้จนถึงครึ่งปีแรกปีหน้า ราคาน้ำมันอาจจะมีการพลิกผัน และเมื่อราคาน้ำมันเปลี่ยนไป แรงกดดันเงินเฟ้อก็จะลดลงไปด้วย