เอเยนซี – เผยเหตุปัจจัยในจีนทั้งมหกรรมโอลิมปิก, แผ่นดินไหวซื่อชวน (เสฉวน) และการสร้างคลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ ทำอุปสงค์น้ำมันจีนพุ่ง แถมทางการปกปิดข้อมูลส่งผลสะเทือนราคาน้ำมันตลาดโลกผันผวน
แม้จีนจะขึ้นแท่นผู้บริโภคน้ำมันอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ ทว่าสถิติปริมาณการบริโภคที่แท้จริงของจีนยังคงเป็นเรื่องลี้ลับ ที่หลายฝ่ายพยายามเรียกร้องให้จีนเปิดเผย เพื่อลดแรงกดดันต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก เมื่อเดือนพฤษภาคมสหรัฐฯได้พยายามชักจูงให้จีนเข้าร่วมองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) เพื่อที่จะให้ทางการจีนเปิดเผยปริมาณการบริโภคน้ำมันที่แท้จริง ทว่าความพยายามดังกล่าวกลับไม่ประสบผลสำเร็จ
ที่ผ่านมาทางสหรัฐฯคาดการณ์ปริมาณการบริโภคน้ำมันของจีนโดยใช้สถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และสถิติอื่นๆของทางการจีนมาคิดคำนวณ สำหรับปีนี้เหตุการณ์พายุหิมะกระหน่ำ, แผ่นดินไหวที่ซื่อชวน และมหกรรมโอลิมปิกปักกิ่ง ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ทางสหรัฐฯคาดว่าปริมาณการบริโภคน้ำมันของจีนน่าจะพุ่งพรวด
เลห์แมน บราเธอร์สระบุว่า หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ซื่อชวน อุปสงค์น้ำมันดีเซลของจีนก็พุ่งทะยาน เนื่องจากรัฐบาลได้สั่งสนับสนุนน้ำมันสำหรับการผลิตพลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้บรรดานักวิเคราะห์ยังให้น้ำหนักโอลิมปิกว่า เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เนื่องจากรัฐบาลเล็งที่จะเปลี่ยนเชื้อเพลิงถ่านหินที่ใช้ในโรงไฟฟ้ารอบปักกิ่งเป็นดีเซลก่อนการแข่งขันโอลิมปิก 45 วันเพื่อลดมลภาวะ และจะมีการสำรองน้ำมันสำหรับความต้องการด้านการคมนาคมอีกด้วย
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์บางรายก็คัดค้านว่า โอลิมปิกจะไม่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมันของจีนมากนัก เทรเวอร์ เฮาเซอร์ จาก โรเดียม กรุ๊ประบุว่า อุปสงค์น้ำมัน 2008 ของจีนจะอยู่ที่ราว 7%-7.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสถิติ 5.2% เมื่อปี 2007ไม่มากนัก ส่วนไออีเอก็ประมาณว่า สถิติอุปสงค์น้ำมันปีนี้น่าจะอยู่ที่ 5.5%
สำหรับเหตุผลที่ทุกฝ่ายต่างต้องคาดเดาปริมาณน้ำมันของจีนก็เพราะว่า วิสาหกิจน้ำมันทั้ง ปิโตรไชน่า และซิโนเปกต่างไม่ยอมเปิดเผยปริมาณน้ำมันในคลัง นักวิเคราะห์ระบุว่า เมื่อปีที่แล้วราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้วิสาหกิจน้ำมันทั้งสองแห่งลดปริมาณน้ำมันคงคลังลง อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าปีนี้วิสาหกิจทั้งสองได้หันกลับมาเพิ่มปริมาณน้ำมันคงคลังอีกครั้ง
เฮาเซอร์ระบุว่า “การที่จีนไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลปริมาณน้ำมันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความผันผวนในตลาด ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอุปสงค์น้ำมันจีนขึ้นลงอยู่ระหว่าง 2-17% การที่จีนไม่เปิดเผยข้อมูลชัดเจนทำให้ต่างฝ่ายต่างคาดคิดไปว่า ปริมาณการบริโภคน้ำมันจีนน่าจะคิดเป็นสัดส่วนราว 15% - 60% ของปริมาณอุปสงค์น้ำมันโลก ดังนั้นถ้าทางการจีนเข้าเป็นสมาชิกไออีเอและเปิดเผยตัวเลขปริมาณน้ำมันออกมา ตลาดโลกจะมีเสถียรภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตามวิสาหกิจน้ำมันจีนมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐ และพวกเขาก็ไม่ต้องการให้มีการเปิดเผยข้อมูล”
ที่ผ่านมาทางการจีนค่อนข้างระมัดระวังเรื่องการปรับราคาน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยดันอัตราเงินเฟ้อที่ตอนนี้อยู่ที่ราว 8.5% ให้สูงขึ้นไปอีก หลังจากเหตุแผ่นดินไหวที่ซื่อชวน ทางการจีนได้นำน้ำมันสำรองส่วนหนึ่งออกมาช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทว่าปริมาณดังกล่าวก็นับว่าเล็กน้อยมาก ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดมากนัก
เผยคลังน้ำมันสำรองต้นเหตุดันราคาพุ่ง
นักวิเคราะห์ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้หลายฝ่ายกังวลคือ การที่จีนกำลังสร้างคลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์เพิ่ม เมื่อเดือนพฤษภาคมรัฐบาลอเมริกันได้ออกมาประกาศว่า อาจหยุดการเติมน้ำมันเข้าคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ที่เหลือในปี 2008 เนื่องจากถูกสภาครองเกรสกดดัน
อย่างไรก็ตามทางการจีนดูเหมือนจะไม่กังวลกับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเท่าไรนัก จีนยังคงเดินหน้าโครงการน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ต่อไป เมื่อเดือนกุมภาพันธ์รัฐบาลจีนได้เติมปริมาณน้ำมันในคลังสำรอง 4 แห่งที่มณฑลเจ้อเจียงรวมปริมาณ 32 ล้านบาร์เรล เหยียน เค่อเฟิง นักวิเคราะห์จากสมาคมวิจัยพลังงานเคมบริดจ์ (Cambridge Energy Research Associates) ระบุว่า ทางการจีนต้องการสำรองน้ำมันให้พอใช้นาน 25-26 วัน ซึ่งนับว่าลดลงจากเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อปี 2004 ที่ 35 วัน สาเหตุที่ทางการลดปริมาณสำรอง ก็เพราะว่าปัจจุบันการบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ทางไออีเอประมาณว่าภายในปี 2010 จีนจะบริโภคน้ำมันราว 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน
แม้จีนกับสหรัฐฯจะสมประโยชน์ทั้งสองฝ่ายจากการช่วยสร้างเสถียรภาพราคาน้ำมันในตลาด ด้วยการเปิดเผยข้อมูล และลดการเติมคลังน้ำมันสำรอง แต่สำหรับจีนแล้วภาพฝันดังกล่าวคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เนื่องจากจีนเองก็มีเหตุผลด้านยุทธศาสตร์ ที่ทำให้ทางการต้องดำเนินการเติมน้ำมันในคลังสำรองต่อไป
น้ำมันราว 80% ที่จีนบริโภคถูกขนส่งผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นเขตที่สหรัฐฯแผ่อิทธิผลเข้าครอบงำ จีนหวั่นว่าหากจีนเกิดขัดแย้ง ทำสงครามกับไต้หวัน สหรัฐฯอาจใช้กำลังขัดขวางการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบมะละกา นอกจากนี้จีนยังกังวลว่า หากมีการเปิดเผยข้อมูลปริมาณน้ำมันออกมา สหรัฐฯอาจนำข้อมูลของจีนไปใช้เป็นข้อมูลทางยุทธศาสตร์
เมื่อเดือนพฤษภาคมปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบของจีนพุ่งขึ้นราว 25% ทำสถิติสูงสุดเป็นครั้งที่สอง เมอร์ริล ลินซ์ระบุว่า รถบรรทุกเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้อุปสงค์น้ำมันดีเซลของจีนพุ่งไม่หยุด เฉพาะช่วงที่ผ่านมายอดขายรถบรรทุกปี 2008 ก็เพิ่มไปแล้วถึง 25% ส่วนอุปสงค์น้ำมันเบนซินในจีนค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ จีนใช้เบนซินเพียง 17% ขณะที่สหรัฐฯใช้มากถึง 45%
นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังระบุว่า การลงทุนด้านอุตสาหกรรมเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้จีนบริโภคน้ำมันอย่างมหาศาล เฮาเซอร์กล่าวว่า “ปัจจุบันอุปสงค์น้ำมันของจีนเพิ่มสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประมาณไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้วมาก โดยมีสาเหตุสำคัญจากการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น”
อย่างไรก็ตามเลห์แมน บราเธอร์สชี้ว่า หากการส่งออกสินค้าของจีนชะลอตัวลง ปริมาณความต้องการน้ำมันเพื่อการผลิตและขนส่งสินค้าก็จะลดลงตาม ทั้งนี้เลห์แมนคาดว่า หลังมหกรรมกีฬาโอลิมปิกสถานการณ์น่าจะคลี่คลายมากกว่านี้ เนื่องจากความต้องการบริโภคน้ำมันของจีนน่าจะลดลง