รอยเตอร์ – ธนาคารซิตี้ แบงก์ได้ออกรายงานปรับซีพีไอจีนปีนี้และปีหน้าเพิ่มเป็น 7.4% กับ 5.7% ตามลำดับ โดยให้สาเหตุว่าการลงทุนเพื่อก่อสร้างหลังภัยพิบัติจะเป็นปัจจัยกดดันเงินเฟ้อ อีกทั้งเพื่อช่วยเหลือเหตุการณ์ภัยพิบัติทำให้ไม่สามารถใช้มาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้
ธนาคารซิตี้ แบงก์ได้ออกรายงานที่ระบุว่า ทางธนาคารได้ปรับคาดการณ์ดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นดัชนีกำหนดเงินเฟ้อของจีนในปีนี้กับปีหน้าจากเดิม 5.8% กับ 3% เป็น 7.4% กับ 5.7% ซึ่งสูงกว่าที่มีการประเมินกันทั่วไปที่ 6.3% กับ 3.8%
รายงานระบุว่า หลังจากเกิดภัยพิบัติขึ้น ในช่วงเวลาของการลงทุนก่อสร้างและฟื้นฟูจะทำให้เกิดความกดดันในด้านเงินเฟ้อ บวกกับการที่ได้ประเมินว่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นจาก 0.8%ที่ประเมินไว้เดิม เป็น 1.3% ซึ่งจะทำให้การส่งออกของจีนไปสหรัฐฯเพิ่มขึ้นจากเดิม 15% เป็น 20%
นายสวี่ เสี้ยนชุน รองอธิบดีกรมสถิติแห่งชาติจีนได้เปิดเผยเมื่อวันพุธ (28 พ.ค.) ว่าการเกิดแผ่นดินไวที่เสฉวนนั้น จะทำให้เกิดเงินเฟ้อในประเทศเพิ่มมากขึ้น และจะทำให้เป้าหมายการควบคุมเงินเฟ้อทั้งปีให้อยู่ใน 4.8% นั้นมีความกดดันค่อนข้างมาก
ทางซิตี้ แบงก์ยังระบุอีกว่า หน้าที่หลักในขณะนี้ของรัฐบาลจีนคือการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหว ดังนั้นในระยะสั้นจึงไม่อาจที่จะออกมาตรการจำกัดการปล่อยสินเชื่อได้ ทำให้การปล่อยสินเชื่อของธนาคารไม่ถูกควบคุมเหมือนที่ผ่านมา บวกกับโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยในระยะนี้ก็เป็นไปได้น้อย และการแข็งค่าของเงินหยวนก็คงจะเริ่มชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ทางธนาคารเชื่อว่า สำหรับรัฐบาลจีนแล้ว การรักษาเสถียรภาพในสังคมนั้นเหนือกว่าทุกสิ่ง ดังนั้นอาจจะมีการใช้มาตรการแทรกแซงราคาสินค้า ดังนั้นการที่จะมีการออกมาตรการปรับเพิ่มราคาพลังงานและสาธารณูปโภคทั้งหลายจึงน้อยมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ใกล้เวลาจัดมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องรักษาราคาของถ่านหิน ไฟฟ้า แก๊ส น้ำมันดีเซล เหล็ก ซีเมนต์และราคาวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ให้อยู่ในระดับที่พอรับได้
นอกจากนั้น ซิตี้ แบงก์เชื่อว่าความเสี่ยงจากนโยบายของทางการจีนยังมีอยู่สูงมาก อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนอย่างยากจะคาดเดาได้ เชื่อว่าจะต้องรอประเมินนโยบายต่างๆใหม่หลังจากช่วงโอลิมปิก หรือในราวสิ้นเดือนต.ค.