xs
xsm
sm
md
lg

มังกรเผชิญศึกหนักเศรษฐกิจร้อน-เย็น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพการ์ตูนแสดงถึงราคาสินค้าจีนที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆจนเกิดเป็นปัญหาเงินเฟ้อ
เอเอฟพี / รอยเตอร์ - จีนประกาศปรับจีดีพี 2007 ขึ้นเป็น 11.9% ขณะที่ยอดลงทุนจากต่างประเทศ ยังคงร้อนแรง ด้านแหล่งข่าววงในเผย เงินเฟ้อจีนเดือนเดือนมี.ค.จะลดลงเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในอัตราที่สูง ทำให้จีนต้องเผชิญหน้ากับการรับศึกป้องกันเศรษฐกิจร้อนและการควบคุมเงินเฟ้ออย่างหนักหน่วง อย่างไรก็ตาม คาดว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่ลดลงเล็กน้อยนี้ จะช่วยให้ธนาคารกลางยังไม่ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย

กรมสถิติแห่งชาติจีนได้ออกมาประกาศปรับตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนเมื่อปี 2007 ใหม่ โดยปรับเพิ่มจาก 11.4% เป็น 11.9% โดยในปีที่ผ่านมาจีนมีผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ทั้งสิ้น 25.0 ล้านล้านหยวน หรือหากคิดในอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันจะเท่ากับ 3.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นการปรับเพิ่มจากก่อนหน้าที่จีนได้ประกาศเมื่อเดือนม.ค. ที่ระบุว่าจีดีพีปี 2007 อยู่ที่ 24.7 ล้านล้ายหยวน

นอกจากนั้น กรมสถิติแห่งชาติยังได้ยืนยันอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2006 ว่าอยู่ที่ 11.6% เพิ่มขึ้นจากที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้า 0.5%

ในขณะเดียวกัน ตัวเลขการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของจีนในเดือนมี.ค. ก็ยังคงร้อนแรง โดยเพิ่มขึ้นถึง 39.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 9,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และทำให้ในไตรมาสแรกมีตัวเลขเงินลงทุนจากบริษัทต่างชาติทั้งสิ้น 27,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 61.3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2007 รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ระบุ

แหล่งข่าวจากทางการยังได้เปิดเผยว่า ดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นตัววัดเงินเฟ้อของจีนในเดือนมี.ค.นั้นอาจจะสูงถึง 8.3% แต่ลดลงเล็กน้อยจาก 8.7% ของเดือนก.พ.ที่เป็นตัวเลขที่ สูงที่สุดในรอบเกือบ 12 ปี

โดยแหล่งข่าวได้ชี้ว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของซีพีไอจะไม่เกินเดือนก.พ. ซึ่งตัวเลขนี้จะเป็นการลดความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางจะขึ้นดอกเบี้ย แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่จีนกำลังต้องป้องกันในสองด้าน นั่นก็คือป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจที่เติบโตค่อนข้างเร็ว กลายเป็นเศรษฐกิจร้อนแรงเกิน และป้องกันไม่ให้ราคาสินค้าที่ปรับขึ้นตามโครงสร้างต้องกลายเป็นเงินเฟ้อที่เห็นได้ชัด อีกทั้งยังต้องป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจตกต่ำ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกใช้นโยบายการควบคุมเงินตราอย่างยืดหยุ่น ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่คณะรัฐมนตรีจีนได้ประกาศไว้ในปฏิบัติการของปี 2008 โดยเน้นย้ำว่าจะต้องรักษาจังหวะ และประเด็นสำคัญของการควบคุมเศรษฐกิจมหภาคให้ดี

สถานการณ์ที่จีนกำลังเผชิญหน้านี้ สำหรับผู้ที่มีหน้าที่กำหนดนโยบายที่จำเป็นต้องรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจให้สมดุลกับเงินเฟ้อที่กำลังเป็นปัญหา ก็เสมือนกับสุภาษิตจีนที่บอกว่า “อยากได้ทั้งปลาและอุ้งตีนหมี” เพราะหากเลือกที่จะใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงิน ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยรับมือเงินเฟ้อ และสภาพคล่องที่ล้นเกินในระบบ ก็อาจจะเสี่ยงต่อการที่เศรษฐกิจจะหดวูบอย่างรวดเร็ว จนเป็นการทำลายรากฐานทางเศรษฐกิจที่จีนได้วางเอาไว้

“ปีนี้อาจจะเป็นปีที่จีนต้องเผชิญอุปสรรคอย่างหนักที่สุดปีหนึ่ง” นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่าได้แสดงความกังวลนี้ในที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนเมื่อเดือนที่ผ่านมา ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างเห็นพ้องว่า การรับมือกับเศรษฐกิจทั้งร้อนและเย็นแบบนี้ เป็นสิ่งที่ตึงมือไม่น้อย”

แหล่งข่าวภายในอีกคนหนึ่งได้ระบุว่า “แม้ว่าดัชนีเศรษฐกิจในไตรมาสแรกจะยังไม่คลอดออกมา ทว่าหากวิเคราะห์จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เชื่อว่าตัวเลขของเดือนมี.ค. และไตรมาสแรกที่จะออกมาคงไม่เลวร้ายนัก เศรษฐกิจโดยรวมยังจัดว่าดีอยู่”

อย่างไรก็ตามสตีเฟน ประธานมอร์แกน แสตนลีย์ประจำภูมิภาคเอเชียได้เขียนไว้ในบทความของเขาว่า “การป้องกันปัญหาเงินเฟ้อของจีนจะต้องระวังการเดินซ้ำรอยสหรัฐฯ จะต้องไม่เพียงแต่จับตาดัชนีของเงินเฟ้อ แต่ธนาคารกลางของจีนยังต้องลงมือหาวิธีควบคุมแต่เนิ่นๆ”

“สำหรับเศรษฐกิจของประเทศจีน จะต้องไม่ดูแคลนความเสี่ยงที่เกิดจากเงินเฟ้อโดยเด็ดขาด การปล่อยให้เศรษฐกิจร้อนเกิน รังแต่จะทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อเลวร้ายมากขึ้น ดังนั้นธนาคารกลางจึงควรจะรีบตัดสินใจและรีบเคลื่อนไหวแต่เนิ่นๆ แม้ว่าในขณะนี้ปัญหาอุปสงค์จากต่างประเทศจะทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นของการส่งออกลดลงก็ตาม”

ทั้งนี้ เงินสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนที่มีมากที่สุดในโลกนั้น ได้แตะ 1.65 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯไปเมื่อสิ้นเดือนก.พ. และเพิ่มขึ้นเกือบ 8% จากเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา
กำลังโหลดความคิดเห็น