ซินหัวเน็ต – นับตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค.เป็นต้นมา หุ้นจีนก็ได้เข้าสู่ภาวะ “ตก” ต่อเนื่องมาเกือบตลอด ท่ามกลาง 45 วันทำการ ดัชนีเซี่ยงไฮ้ตกลงมา 2,006 จุด หรือเฉลี่ยวันละ 45 จุด การตกฮวบครั้งนี้ต้องนับว่าเป็นการ ตกนาน ตกมาก และส่งผลกระทบต่อหุ้นหลากหลายในกระดาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนนับตั้งแต่มีการปฏิรูปตลาดในปี 2005 ในเวลานี้จึงนับเป็นบททดสอบใหญ่ระหว่างความเป็น “กระทิงหรือหมี” ของหุ้นกระดานเอ
หลายคนได้เริ่มการตั้งคำถามว่า ช่วงเวลาแห่งความเป็นกระทิงคึกของจีนจบสิ้นแล้วหรือ? โอกาสการทำเงินในตลาดเป็นกอบเป็นกำหมดไปแล้วหรือไม่? ต่อคำถามดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังมองว่ายากที่จะสรุปได้ในขณะนี้ อีกทั้งยังไม่ถึงเวลาที่จะตัดสินว่าหุ้นจีนจะลงเอยอย่างไร
โดยนักวิเคราะห์ได้ชี้ว่า แม้ผลประกอบการในปี 2007 จะออกมาค่อนข้างดี แต่บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่มีอัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้นลดลง อีกทั้งในปัจจุบันราคาและดัชนีในตลาดยังตกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกคนกำลังรอจับตาดูผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทในตลาดว่าจะออกหัวออกก้อยอย่างไร
โฉว เจี้ยนหงนักวิเคราะห์จากศูนย์ข้อมูลจวินจือช่วงได้เปิดเผยว่า “เนื่องจากในปี 2008 เศรษฐกิจจีนมีการชะลอตัวมากกว่าที่คาดไว้ ผนวกกับผลกระทบจากเงินเฟ้อ นโยบายการคุมเข้มเงินตรา อาจจะให้การเติบโตของผลประกอบการในตลาดต่ำกว่า 30%ตามที่หลายฝ่ายเคยคาดไว้” ซึ่งจากสถิติทางเศรษฐกิจในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. อัตราการเติบโตของการส่งออกไปต่างประเทศได้ลดลงจาก 20% มาอยู่ที่ 6.5% มูลค่าเพิ่มของวิสาหกิจและอุตสาหกรรมก็ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2006 นอกจากนั้นดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภค (ซีพีไอ) ก็พุ่งขึ้นมาถึง 8.7% จนทำลายสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 12 ปี ที่ยังไม่นับรวมปัจจัยด้านหิมะที่รวมๆกันแล้วน่าจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทต่างๆต่ำกว่าที่คาดไว้
ฝันร้ายนักลงทุน
เมื่อย่างเข้าสู่เดือนมี.ค. หลายคนถึงกับเรียกว่าเป็นฝันร้ายของนักลงทุน หลังจากที่ผ่านแบล๊คมันเดย์เมื่อวันจันทร์ที่ 17 มี.ค. ที่ดัชนีหล่นฮวบ 142.62 จุดแล้ว ในจันทร์ต่อมา (24 มี.ค.) ก็ตกไป 179.5 จุดและยังตกต่อเนื่องไปถึงช่วงปิดตลาดช่วงเที่ยงวันอังคาร และกระทั่งปรับตัวสู่แดนบวกเล็กน้อยในช่วงบ่าย
จากตัวเลของกั๋วจิน ซีเคียวริตี้ส์ได้ระบุว่า ในปี 2007 ตลาดกระดานเอของจีนมีทุนสุทธิไหลเข้าเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า และจนถึงบัดนี้กลับกลายเป็นว่ามีทุนสุทธิที่ไหลออกไป 1.5 เท่าแล้วเช่นกัน สำหรับตลาดใหม่อย่างจีนนั้น บริษัทที่เข้าไปจดทะเบียนในตลาด ถือว่ายังขาดการควบคุมตนเองอย่างเข้มงวดพอ
ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญได้แนะว่า “ในขณะนี้ สิ่งเร่งด่วนก็คือจะต้องหามาตรการ ที่จะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของอุปสงค์ และอุปทานในตลาดให้ได้อย่างรวดเร็ว โดยในด้านอุปทานนั้น การพึ่งพาการเปิดกองทุนใหม่ๆคงจะยังไม่เพียงพอ ยังจะต้องใช้มาตรการเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนในตลาด จนมีความต้องการจะซื้อกองทุน ส่วนด้านอุปสงค์นั้น อยู่ที่ว่าสามารถจะชะลอการทำไอพีโอของหุ้นตัวใหม่ๆ โดยเฉพาะพวกหุ้นที่เล็งเข้ามาดูดทุน หรือหุ้นที่ระดมทุนครั้งที่สองไว้ได้หรือไม่ เพื่อให้ตลาดนั้นได้มีโอกาสพักหอบหายใจสักระยะหนึ่ง
นอกจากนั้น อีกหนึ่งปัญหาที่กำลังรอคอยกองทุนต่างๆก็คือการแจกปันผลในวันที่ 31 มี.ค. ซึ่งคาดว่าขณะนี้กองทุนหลายแห่งกำลังประสบความกดดัน ซึ่งมีการคาดกันไว้ว่าทางกองทุนอาจจะต้องมีการขายหุ้นมูลค่าราว 100,000 หยวนเพื่อมาจ่ายเงินปันผลดังกล่าว
ทั้งนี้ จากผลการสำรวจพบว่า นักลงทุนรายใหญ่ส่วนมากจะสามารถรับความเสี่ยงได้ที่ประมาณ 25% คนที่มีกำลังน้อยหน่อยจะอยู่ที่ 15% ทว่าหากนับจากตอนที่หุ้นจีนพุ่งไปสูงสุดที่ 6,100 จุดและตกลงมาถึงบัดนี้ ก็เกิดจากกำลังการรับความเสี่ยงของหลายคนไปแล้วหลายเท่า ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจะต้องหาทางทำให้หุ้นจีนนั้นดีดกลับมาในแดนบวกต่อเนื่องได้ในระยะเวลาที่เร็วที่สุด