ไฟแนนเชียล ไทม์ – หลังราคาอาหารทั่วโลกทำท่าพุ่งต่อเนื่อง แม้แต่ในจีนเองยังประสบปัญหาราคาอาหารดันเงินเฟ้อพุ่งพรวด ล่าสุดรัฐบาลจีนกำลังพิจารณาร่างโครงการส่งเสริมบริษัทจีนรุกทำการเกษตรต่างแดน เน้นพื้นที่อเมริกาใต้ และแอฟริกานักวิเคราะห์ชี้อาจเป็นชนวนควมขัดแย้งรอบใหม่ระหว่างจีนกับนานาชาติ
กระทรวงเกษตรจีนเสนอร่างโครงการใหม่ เน้นสนับสนุนบริษัทเกษตรจีนเข้าถือครองที่ดินต่างแดน เพื่อใช้พื้นที่ทำการเกษตรป้อนผู้บริโภคจีน ที่ผ่านมาทางปักกิ่งได้ส่งเสริมให้บริษัทจีนทั้งภาคการผลิต, การเงิน และพลังงานก้าวออกไป ร่วมหุ้นหรือควบกิจการต่างชาติ ทว่าสำหรับภาคการเกษตรแล้วยังถือว่าอยู่ในวงจำกัดมาก อย่างไรก็ตามร่างโครงการใหม่นี้ จะทำให้ภาคการเกษตรจีนเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่จะเข้าร่วมตลาดโกอินเตอร์
หากโครงการดังกล่าวได้รับการอนุมัติ ความเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากปัจจุบันหลายประเทศต่างมีแผนการทำนองเดียวกัน ทำให้จีนต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือด นอกจากนี้ราคาอาหารโลกที่พุ่งพรวด รวมทั้งภาวะโลกร้อน ยังเป็นอีก 2 ปัจจัย ที่ทำให้การก้าวออกไปของภาคเกษตรพญามังกรครั้งนี้ อาจจะต้องเจอกับคำถามและข้อสงสัยมากมาย ไม่แพ้การก้าวไปควบกิจการบริษัทต่างชาติที่ถูกตั้งคำถามว่า มีวาระทางการเมืองแอบแฝงหรือไม่
“นโยบายดังกล่าวน่าจะได้รับการอนุมัติ ไม่น่ามีปัญหาติดขัด ถ้าจะมี อาจเป็นปัญหาจากรัฐบาลต่างชาติ ที่ไม่ยอมเปิดพื้นที่ให้เราเข้าไปทำการเกษตร” เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าวเผย
ความเคลื่อนไหวของพญามังกรครั้งนี้ ถูกเผยออกมาในช่วงเดียวกันกับที่ประเทศต่างๆในตะวันออกกลาง และอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นประเทศที่อุดมด้วยทรัพยากรพลังงานแต่ขาดแคลนอาหาร เริ่มพิจารณาโครงการลักษณะเดียวกัน โดยลิเบียได้เริ่มเจรจากับยูเครนเพื่อขอพื้นที่ทำการเพราะปลูกข้าวสาลี ส่วนซาอุดิอาระเบียก็แย้มพรายว่าจะลงทุนด้านเกษตรกรรมและปศุสัตว์ในต่างแดน เพื่อประกันความมั่นคงด้านอาหารและควบคุมราคาสินค้าโภคภัณฑ์
เหตุที่จีนต้องก้าวออกไปเนื่องจากชนชั้นกลางที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พากันช่วยดันปริมาณการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาเนื้อหมูที่สูงขึ้นมาก ก็เป็นเพราะชนชั้นกลางนิยมบริโภคเนื้อมากกว่าข้าว กระทั่งจีนต้องพึ่งพาการนำเข้าเนื้อจำนวนมาก
แม้เกษตรกรจีนจะมีสัดส่วนเป็น 40% ของเกษตรกรโลกทั้งหมด ทว่าจีนมีพื้นที่ที่เพาะปลูกได้เพียง 9% ของโลกเท่านั้น นอกจากนี้การขยายตัวของเมืองยังมีทีท่าว่า จะทำให้พื้นที่ดังกล่าวลดลง นักวิชาการจีนจำนวนหนึ่งจึงเสนอว่า ควรสนับสนุนให้บริษัทเกษตรจีนขยายกิจการไปต่างแดน เพื่อประกันความมั่นคงด้านอาหาร รวมทั้งช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะผันผวนของราคาสินค้าเกษตรโลก
“จีนต้องก้าวออกไป เพราะพื้นที่เพาะปลูกเรามีจำกัด การก้าวออกไปครั้งนี้จะสมประโยชน์ทั้งผู้ลงทุนและรับการลงทุน เพราะทั้งสองฝ่ายจะได้รับประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรและศักยภาพของตนอย่างเต็มที่” เจียง เหวินไหล แห่งสถาบันเกษตรจีนกล่าว
จากสถิติของยูบีเอสชี้ว่า เฉพาะไตรมาสแรกของปีนี้ ราคาสินค้าเกษตรจีนทะยานขึ้นกว่า 25% เมื่อเทียบกับสถิติปี 2007 นับว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นสถิติสูงสุดนับแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1990
แม้จีนยังมีฐานะเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายสำคัญ ทว่าฐานะดังกล่าวก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป จีนพึ่งพาการนำเข้าถั่วเหลืองมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีทีท่าว่าไม่นานอาจจะต้องนำเข้าข้าวโพดสำหรับการบริโภคอีก
เมื่อปีที่แล้วถั่วเหลืองที่บริโภคในประเทศจีนเกินกว่า 60% เป็นถั่วเหลืองนำเข้า เจ้าหน้าที่จีนเผยว่า โครงการลงทุนการเกษตรในต่างประเทศนี้จะเน้นการปลูกถั่วเหลือง, กล้วย, ผัก และพืชน้ำมัน โดยขณะนื้ทางการได้เริ่มเจรจากับบราซิล ประเด็นความเป็นไปได้เกี่ยวกับการถือครองที่ดินสำหรับการเพาะปลูกถั่วเหลือง
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ชี้ว่า โครงการดังกล่าวอาจไม่สมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หากจีนสนับสนุนให้บริษัทเกษตรจีนใช้แรงงานชาวจีนในการผลิตสินค้าเกษตรในต่างประเทศ เช่นเดียวกับการปฏิบัติโดยทั่วไป ที่บริษัทข้ามชาติมักใช้บุคลากรของตนเองเป็นหลักในการดำเนินกิจการ เพราะการใช้แรงงานชาวจีนบนพื้นที่เช่าหรือซื้อเพื่อเพาะปลูก อาจทำให้รัฐบาลประเทศนั้นอึดอัด
อ่านจีนลุย "ขุดทอง" ในไร่นาต่างแดน "ไร้ขื่อแป"