รอยเตอร์ / ซีน่าเน็ต – จีนเผยตั้งเป้านำเข้าน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติเพิ่มเป็น 40% โดยเตรียมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องในปริมาณและสถานที่มากขึ้น ขณะที่แหล่งข่าวเผยสองยักษ์น้ำมันจีนอย่างซีเอ็นพีซี กับซิโนเปค ได้ยื่นเรื่องให้กับหน่วยงานมันสมองจีน ขอปรับลดภาษีนำเข้าน้ำมันอีกครั้ง เพื่อลดต้นทุนในการผลิต หลังขาดทุนอ่วม จากการกลั่น จนทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันในประเทศ
ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานว่า นายเจ้า จื้อหมิงเลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมและอุปกรณ์ปิโตรเคมีแห่งประเทศจีนได้เปิดเผยว่า จีนได้ตั้งเป้าว่าภายในระยะเวลา 5-10 ปี จะมีการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากแอฟริกาเพิ่มขึ้นจาก 35% เป็น 40%
ในปัจจุบัน จีนกำลังไปลงทุนในแอฟริกาอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในธุรกิจเหมืองแร่ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางไม่ค่อยดีมาโดยตลอด ทว่าตั้งแต่ปีค.ศ. 2004 ที่ประธานาธิบดีหู จิ่นเทาได้ประกาศกระชับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับแอฟริกาเป็นต้นมา การค้าระหว่างประเทศของจีนกับแอฟริกาก็พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
โดยในปี 2005 จีนได้นำเข้าน้ำมันจากแอฟริกาในปริมาณที่มากกว่า 30 ล้านตัน คิดเป็น 30% ของปริมาณทั้งหมดที่นำเข้า เจ้า จื้อหมิงได้เปิดเผยว่า “เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับแอฟริกา ในอนาคต เราจึงคาดหวังว่าจะมีการลงทุนในหลายจุดมากขึ้น” พร้อมเปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้ จีนได้ลงทุนในธุรกิจด้านของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในจีนไปแล้ว 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 ของจีนได้แก่ซีเอ็นพีซี , ซิโนเปค และซีนุค ต่างได้ลงทุนดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไนจีเรียซึ่งถือเป็นประเทศที่มีการผลิตน้ำมันมากที่สุดในแอฟริกาแล้ว
ขอลดภาษีนำเข้าน้ำมัน
แหล่งข่าวภายในไม่ประสงค์ออกนามได้ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้เนื่องจากราคาน้ำมันในประเทศจีนกับราคาน้ำมันในตลาดโลกนั้นต่างกัน ทำให้ทางซีเอ็นพีซี และซิโนเปค ได้ยื่นเรื่องไปยังคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (เอ็นดีอาร์ซี) เรียกร้องให้มีการปรับลดภาษีทรัพยากรและภาษีนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพของราคาเอาไว้
แหล่งข่าวได้ระบุว่า ผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบต่างประเทศ ทำให้โรงกลั่นภายในประเทศต้องขาดทุนอย่างหนัก โดยการกลั่นน้ำมันทุกๆ 1 ตันจะขาดทุนถึง 2,500 หยวน หากใช้วิธีการลดภาษีเพื่อชะลอแรงกดดันทางด้านต้นทุน นับว่าเป็นอีกวิธีในการแก้ปัญหาขาดแคลนอุปทานน้ำมันที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยการยื่นดังกล่าวได้ระบุชัดว่า เป็นการขอลดภาษีนำเข้า ไม่ใช่การขอขึ้นราคา
โดยก่อนหน้านี้ตั้งแต่เดือนม.ค.เป็นต้นมา ทางการจีนได้มีการปรับลดอัตราภาษีการนำเข้าทรัพยากรน้ำมันเพื่อเป็นการตอบสนองต่ออุปสงค์ภายในประเทศไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาษีน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และเชื้อเพลิงที่ใช้ในการบิน ให้เหลือ 1% ในขณะที่เมื่อเดือนพ.ย. ปีที่แล้ว อัตราภาษีน้ำมันเบนซิน ดีเซล หรือเชื้อเพลิงการบินเพิ่งลดจาก 6% มาเหลือ 2%
ด้านนักวิเคราะห์ได้มองว่า เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ปริมาณการกลั่นน้ำมันในประเทศลดลง จนปัญหาการขาดแคลนน้ำมันได้ลุกลามขยายตัวออกไป ภายใต้การเรียกร้องของเอ็นดีอาร์ซี ทำให้ทางซีเอ็นพีซีและซีนุค ต้องพยายามที่จะนำเข้ามากขึ้น ซึ่งหากมีการปรับลดภาษีนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปให้ต่ำลงอีก ก็จะเป็นการกระตุ้นให้บริษัทน้ำมัน มีความกระตือรือร้นจะเพิ่มปริมาณนำเข้ามากขึ้น และสามารถชะลอปัญหาการขาดแคลนน้ำมันภายในประเทศได้
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมามณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง), หูหนัน และหูเป่ยมีการขาดแคลนน้ำมันอย่างหนัก โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล ทำให้ปั๊มน้ำมันบางแห่งที่ยังพอมีน้ำมัน มีรถต่อขบวนรอเติมน้ำมันยาวเหยียด3-4 กิโลเมตร
นอกจากนั้นจากการที่ราคาน้ำมันขายส่งแพงกว่าราคาขายปลีก ทำให้ปั๊มน้ำมันเอกชนต้องติดป้าย “ไม่มีน้ำมัน” หรือ “ไม่มีน้ำมันดีเซล” เอาไว้หน้าปั๊ม โดยหลายรายได้เปิดเผยว่า ตอนนี้ยิ่งขายก็เท่ากับยิ่งขาดทุน ดังนั้นต่อให้มีน้ำมัน เราก็ไม่กล้าสั่งเข้ามาขาย