หนังสือพิมพ์สากล – นักธุรกิจบริษัทเอกชนเจ้อเจียงพากันย้ายสำนักงานใหญ่ของบริษัทออกจากเซี่ยงไฮ้ ไปสู่หังโจว หนิงปอ ฮ่องกง ชี้สาเหตุจากสิ่งแวดล้อมด้านการลงทุนเช่นถูกวิสาหกิจรัฐผูกขาด เจ้าหน้าที่ทำงานล่าช้า และการแข่งขันไม่เท่าเทียม
แม้ว่าเซี่ยงไฮ้จะเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญยิ่งของจีน ทว่าในสายตาของชาวมณฑลเจ้อเจียง เซี่ยงไฮ้ กลับยังเป็นเมืองที่มีปัญหาในด้านของสิ่งแวดล้อมการลงทุน โดยจนถึงกลางปี 2007 มีวิสาหกิจเอกชนเจ้อเจียงที่ย้ายออกจากเซี่ยงไฮ้แล้วกว่า 7,000 ราย
โดยบุคคลเหล่านี้ได้ระบุว่า ปัญหาของเซี่ยงไฮ้ที่สำคัญอยู่ที่การไม่เปิดกว้างเพียงพอและการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม เพราะมีวิสาหกิจรัฐเป็นผู้ผูกขาดตลาด นอกจากนั้น ยังมีกำแพงกระจกขั้นขวางการเข้าสู่ตลาดของบริษัทเอกชน ทำให้ดูคล้ายว่าสามารถลงทุนได้ แต่กลับถูกกั้นขวางเอาไว้
ในขณะเดียวกัน การให้บริการสาธารณะในเซี่ยงไฮ้ก็ยังบกพร่องอยู่มาก เจ้าหน้าที่รัฐทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม แม้กระทั่งหน่วยงานรัฐที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเรื่องการกำกับดูแลเศรษฐกิจก็ทำงานแต่น้อยหรือไม่ทำงานเลย
ปัญหาที่สำคัญมาจากทั้งความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจ เช่น ความไม่สมดุลของสัดส่วนของวิสาหกิจรัฐ วิสาหกิจต่างชาติ และวิสาหกิจเอกชน ความไม่สมดุลระหว่างอุตสาหกรรมผลิตหลัก กับอุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ ปัญหาการจำกัดสำมะโนครัว เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นผลเสียต่อวิสาหกิจเอกชนรายย่อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดหาทรัพยากร การผ่านเงื่อนไขในการเข้าสู่ตลาด การรับผิดชอบต่อสังคม
โดยรายงานได้ระบุว่า จากจำนวนนักธุรกิจเอกชนเจ้อเจียงกว่า 7,000 รายที่ย้ายสำนักงานใหญ่หรือแผนกต่างๆ ออกไปจากเซี่ยงไฮ้ มักพุ่งเป้าไปอยู่ที่หังโจว หนิงปอ ฮ่องกง เพียงแค่ 6 เดือนแรกของปี 2007 ก็มีนักธุรกิจเจียงซูยื่นเรื่องขอไปลงทุนในฮ่องกงแล้วกว่า 100 ราย
นอกจากนั้น จำนวนการจดทะเบียนของบริษัทเอกชนในเซี่ยงไฮ้ คิดเป็นเพียง 12.6% ซึ่งเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทเอกชนในเซี่ยงไฮ้มีศักยภาพในการแข่งขันน้อยกว่าในเจ้อเจียงมาก จึงทำให้ภาพรวมแล้วมีคุณภาพไม่สูงนัก
ทั้งนี้ นักธุรกิจที่เหลืออยู่หลายคนก็กำลังจับตาว่า หลังจากการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 17 ที่ผ่านไปเมื่อปีที่แล้ว อี๋ว์เจิ้งเซิง ได้รับการแต่งตั้งให้มาเป็นเลขาธิการพรรคประจำเซี่ยงไฮ้แทนสีว์จิ้นผิงแล้ว จะสามารถทำให้สิ่งแวดล้อมในการลงทุนของบริษัทเอกชนในเซี่ยงไฮ้ดีขึ้นหรือไม่