สองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐร้อนระอุไปด้วยความโกรธแค้นและความเศร้า หลังจากเหตุการณ์ตำรวจผิวขาวสังหารชายชาวแอฟริกัน-อเมริกันที่ไร้อาวุธโดยเกินกว่าเหตุ การตายของ จอร์จ ฟลอยด์ เหมือนระเบิดเวลาที่รอวันจะปะทุขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านั้นในเวลาใกล้เคียงกัน คนผิวดำในอเมริกาได้ถูกตำรวจฆาตกรรมอย่างไร้เหตุผลหลายต่อหลายคน
แม้ว่า การออกมาเดินขบวนประท้วงในหลายๆ แห่ง จะกลายเป็นความรุนแรง ทำให้มีการปล้น ทำลายธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะร้านค้าปลีกของธุรกิจแฟชั่น หากบรรดาแฟชั่นเฮาส์ต่างๆ ก็ยังรู้สึกว่า การรณรงค์ต่อต้านการเหยียดสีผิว เป็นประเด็นที่ใหญ่กว่าความเสียหายทางธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ต่างออกมาแสดงเจตจำนงค์ต้านการเหยียดผิว รวมทั้งเห็นไปในทางเดียวกันว่า การแค่ออกมาพูดอาจจะยังไม่เพียงพอ
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านแฟชั่นกีฬา อย่างไนกี้และอาดิดาส ออกมาสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าร้านค้าปลีกของพวกเขาจะตกเป็นเป้าในการปล้นสะดมสินค้า
ไนกี้ ได้โพสต์แถลงการณ์ไว้ในอินสตาแกรมหลักว่า พวกเขาจะยังคงสนับสนุนความเท่าเทียม และพยายามทำงานเพื่อลดช่องว่างระหว่างสีผิวที่มีอยู่ในวงการกีฬาทั่วโลก “เราจะทุ่มเงินลงทุน ส่งเสริมนโยบายระยะยาวของพวกเรา ในการสนับสนุนชุมชนผิวสี รวมทั้งจะร่วมมือกับองค์กรระดับโลกต่างๆ ในการสร้างความเท่าเทียมกันระหว่างสีผิว ชนชั้น และการศึกษา”
สำหรับ อาดิดาส แบรนด์ดังจากยุโรป ก็โพสต์สั้นๆ ว่า “เราจะต้องลงมือทำเสียแต่บัดนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเราไม่สร้างสรรค์โอกาสที่จะเปลี่ยนมัน
“นี่คือคำมั่นสัญญาที่เรามีต่อชุมชนคนผิวสี และต่อโลกใบนี้ เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเราก็จะทำมันแน่ๆ นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น”
ดีไซเนอร์ดาวรุ่งชาวอเมริกัน ที่มีสโลแกนเก๋ๆ ของแบรนด์กระเป๋ายูนิเซ็กซ์ของเขาว่า แบรนด์นี้ไม่เหมาะกับคุณ แต่เหมาะกับทุกคน เทลฟาร์ เคลเมนส์ ตอบรับแคมเปญ #BlackLivesMatter อย่างรวดเร็ว ค่าที่ตัวเขาเองก็เป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน แถมยังเป็นคนเพศที่สามอีก เรียกว่า เติบโตมาท่ามกลางความไม่เท่าเทียมมาตลอดชีวิต
แน่นอนว่า เขาต้องอาศัยโอกาสนี้แสดงจุดยืนต่อต้านความไม่เท่าเทียมในสังคมทั้งหลายทั้งปวง ที่เขาเคยเผชิญมาด้วยตัวเอง ปิดท้ายด้วยการรณรงค์ให้ทุกๆ คนช่วยกันสนับสนุนงานศิลปะและแบรนด์ของคนผิวสี ด้วยแฮชแท็ก #supportblackart #telfarclemens #blackbrand #LGBTQ #Pridemonth #amplifyblackvoices
ขณะที่แฟชั่นเฮาส์ระดับโลก อย่าง หลุยส์ วิตตอง นั้นโดนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความนิ่งนอนใจ ไม่แสดงท่าทีใดๆ ต่อวิกฤตการเหยียดผิวครั้งใหม่ที่เกิดขึ้น หากเอาแต่โพสต์ขายกระเป๋ารุ่นใหม่ในอินสตาแกรมทางการของบริษัท ร้อนถึงผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แฟชั่นสุภาพบุรุษ เวอร์จิล แอ็บโลห์ ซึ่งเป็นดีไซเนอร์ ศิลปิน และดีเจชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ต้องพลิกวิกฤตเป็นโอกาส นำผลงานวิดีโอที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นเอง มาโพสต์แทนแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยบรรยายวิดีโอว่า “ช่วยกันสร้างความเปลี่ยนแปลง ร่วมกันเป็นอิสระจากสีผิวและเชื้อชาติ เพื่อความสงบสันติด้วยกัน” ปิดท้ายด้วยแฮชแท็ก #BlackLivesMatter
ขณะที่แฟชั่นเฮาส์ระดับโลก อย่าง หลุยส์ วิตตอง นั้นโดนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความนิ่งนอนใจ ไม่แสดงท่าทีใดๆ ต่อวิกฤตการเหยียดผิวครั้งใหม่ที่เกิดขึ้น หากเอาแต่โพสต์ขายกระเป๋ารุ่นใหม่ในอินสตาแกรมทางการของบริษัท ร้อนถึงผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แฟชั่นสุภาพบุรุษ เวอร์จิล แอ็บโลห์ ซึ่งเป็นดีไซเนอร์ ศิลปิน และดีเจชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ต้องพลิกวิกฤตเป็นโอกาส นำผลงานวิดีโอที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นเอง มาโพสต์แทนแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยบรรยายวิดีโอว่า “ช่วยกันสร้างความเปลี่ยนแปลง ร่วมกันเป็นอิสระจากสีผิวและเชื้อชาติ เพื่อความสงบสันติด้วยกัน” ปิดท้ายด้วยแฮชแท็ก #BlackLivesMatter
ด้านแบรนด์ กุชชี่ หยิบยกเอาบทกวีของ คลีโอ เวด ศิลปินผิวดำ ผู้ร่วมก่อตั้ง เชนจ์เมคเกอร์ เคาน์ซิล องค์กรการกุศลที่กุชชี่มีเอี่ยวในการร่วมระดมทุน เมื่อครั้งเกิดเรื่องฉาวในการออกแบบสเวตเตอร์รุ่นแบล็กเฟซ ที่ถูกต่อต้านเพราะดูเป็นการเหยียดสีผิว ซึ่งในครั้งนั้น ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ อย่าง อเลสซานโดร มิเคเล ต้องออกมาขอโทษอย่างแรง พร้อมทั้งนำเอาสเวตเตอร์คอเต่าสีดำที่ปิดมาถึงครึ่งใบหน้ารุ่นดังกล่าวออกจากคอลเลกชั่นแทบไม่ทัน โดยบอกว่า เป็นการระลึกถึงผลงานศิลปะของ ลีห์ บาเวอรี่ ไม่ได้มีเจตนาเหยียดสีผิวแต่อย่างใด
บทกวีของ คลีโอ เวด ที่กุชชี่โพสต์มีเนื้อหาว่า “โลกกำลังบอกเราว่า เราต้องหยุดการเหยียดสีผิว โดยเริ่มต้นจากครอบครัวของเราเอง โลกกำลังบอกเราว่า เราจะพูดกับคนที่มีอคติและความเชื่อที่ผิดๆ แบบนี้ได้อย่างไร โดยเริ่มจากการพูดคุยกันที่โต๊ะกินข้าวในบ้านเราเอง โลกกำลังบอกเราว่า มีความเกลียดชังมากมายเหลือเกิน ฉะนั้นแล้วเราควรทุ่มเทใจให้ความรัก รักตัวเองให้มากๆ เพื่อที่จะรักคนอื่นได้โดยไม่มีข้อแม้”
สำหรับแบรนด์อื่นๆ ที่แสดงจุดยืนในเรื่องนี้ ก็ยังมี ไมเคิล คอรส์ แต่อีกหลายแบรนด์ก็ยังเงียบๆ เชียบๆ
จะว่าไป อุตสาหกรรมแฟชั่นนั้นสร้างประโยชน์จากคนผิวสีได้จำนวนมหาศาล พวกเขาอาศัยวัฒนธรรมของคนผิวดำมาสร้างสรรค์เป็นสินค้าสุดหรูหรา ยกตัวอย่างแบรนด์กุชชี่เอง ผลงานที่ให้ แดปเปอร์ แดน ดีไซเนอร์ชาวแอฟริกัน-อเมริกันมาร่วมออกแบบนั้นประสบความสำเร็จอย่างสูง และยังคงเป็นคอลเลคชั่นเด่นที่ขายดิบขายดี ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับ และยังไม่ได้พูดถึงอีกหลายแบรนด์ ที่อาศัยวัฒนธรรมของคนผิวสีมาสร้างรายได้นับพันๆ ล้านดอลลาร์
ทุกวันนี้ แต่ละแบรนด์แฟชั่นเน้นทำการตลาดโดยการเจาะไลฟ์สไตล์ของลูกค้า สำหรับคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เห็นว่า จุดยืนทางสังคม/การเมืองคือส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของพวกเขา ดังนั้น การมีจุดยืนที่ชัดเจนของแต่ละแบรนด์แฟชั่นก็อาจจะสร้างฐานแฟนๆ ให้เพิ่มขึ้นหรือน้อยลงได้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะแบรนด์ที่ตั้งใจเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ให้มาก ผลสำรวจล่าสุดของเอเดลแมน ในปี 2018 พบว่า 2 ใน 3 ของนักช็อปทั่วโลก ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าโดยดูการเลือกข้างทางสังคม/การเมืองของแบรนด์
นอกจากนี้ นโยบายด้านสิทธิมนุษยชนของบริษัทก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะแบรนด์ระดับโลกที่ล้วนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ที่ไม่อาจอยู่ได้แค่เงินปันผลของผู้ถือหุ้นใหญ่เท่านั้น แต่ต้องเพิ่มมูลค่าของหุ้นในตลาดด้วย ดังนั้น จุดยืนทางสังคม/การเมือง จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก (อีกรอบหนึ่ง) โดยเฉพาะประเด็นที่ตกเป็นข้อพิพาททั่วโลก อย่างการเหยียดผิว พวกเขาจึงทำเพียงแค่พูดไม่ได้ แต่ต้องทุ่มทุนมากกว่านั้น
ส่วนหนึ่งที่จะเข้าช่วยสร้างภาพลักษณ์เรื่องนี้ ก็คือ การสร้างฐานแฟนๆ จากชุมชนผิวสีในระยะยาว โดยเฉพาะการจ้างคนผิวดำมาเป็นหน้าตาของแบรนด์ในระดับบริหาร ซึ่งตอนนี้ส่วนใหญ่ยังคงตกอยู่ในมือของคนผิวขาว
สำหรับแบรนด์แฟชั่นระดับโลก ก็มีเพียง เวอร์จิล แอ็บโลห์ ของลุยส์ วิตตอง และโอลิวิเยร์ รูสเตียง แห่งบัลแม็ง เท่านั้น ที่เป็นคนผิวสีระดับผู้บริหาร ขณะที่ซีอีโอ ก็มีเพียงรายเดียว คือ ไจด์ ซีตลิน จากบริษัท ทาเพสตรี้ ที่บริหารแบรนด์โค้ช และเคท สเปด