มาร์ติน ลูเทอร์ คิง เดอะ เติร์ด ลูกชายคนโตของตำนานนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ที่แม้บิดาของเขาได้ถูกลอบสังหารขณะที่ตัวเขาอายุได้เพียง 10 ขวบ เขาก็ไม่ได้หวาดกลัว ทว่า คงสานต่องานเรียกร้องความเท่าเทียมในสังคมเช่นเดียวกับบิดา
การเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมของชาวแอฟริกัน-อเมริกัน จึงเป็นสิ่งที่เผชิญหน้ามาตลอดชีวิต แต่กับการออกมาเรียกร้องในแคมเปญ #BlackLivesMatter ครั้งล่าสุดนี้ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง เดอะ เติร์ด ยังต้องออกปากว่าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เขาเริ่มมีความรู้สึกว่าความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของบิดาผู้ล่วงลับ อาจจะกลายเป็นจริงขึ้นมาได้แล้วในครั้งนี้
ในฐานะลูกชายคนโตของนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน มาร์ติน ลูเทอร์ คิง เดอะ เติร์ด ต้องแบกคำถามเกี่ยวกับพ่อของเขาไว้ตลอดชีวิต โดยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาเขาทำงานหนักขึ้นเพื่อที่จะทำให้ความฝันด้านสิทธิความเสมอภาคของบิดากลายเป็นจริง
แน่นอนว่า การออกมาเดินขบวนประท้วงต่อต้านการเหยียดสีผิว มีการนำเอาแนวคิดของมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ไปอ้างถึงเสมอ และในครั้งนี้บางส่วนมีการใช้ความรุนแรง ซึ่งผิดไปจากวัตถุประสงค์ของบิดาเขาที่ตั้งใจต่อสู้โดยปราศจากความรุนแรง แต่ลึกๆ แล้ว มาร์ติน ลูเทอร์ คิง เดอะ เติร์ด ก็สนับสนุนในการลุกขึ้นมาต่อสู้อยู่ดี
“การออกมาประท้วงบางแห่ง ด้วยอารมณ์พาไป อาจจะคุกรุ่นกลายเป็นความรุนแรงไปบ้าง แต่เท่าที่ผมเห็นส่วนใหญ่แล้วก็ออกมาชุมนุมเรียกร้องกันโดยสงบ มันแย่จริงๆ ครับที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น การใช้ความรุนแรง เผา ปล้นทำลายร้านค้า ขโมยเสื้อผ้า แต่คุณก็สามารถซ่อมแซมอาคาร เอาเสื้อตัวใหม่ไปวางแทนได้ แต่คุณจะนำชีวิตของคนที่ถูกฆ่าคืนมาได้มั้ย? ไม่ได้แน่ๆ”
มาร์ติน ลูเทอร์ คิง เดอะ เติร์ด ยอมรับว่า ขนาดตัวเขาเองก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนักกับพวกตำรวจ
“ตำรวจมีหน้าที่ต้องปกป้องประชาชน แต่จากประสบการณ์ในชีวิตของผมไม่ได้เป็นแบบนั้น เป็นเรื่องลำบากใจจริงๆ นะครับที่ต้องเห็นลูกสาวตัวเองโตมาแบบต้องกลัวคนในเครื่องแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอเห็นวิดีโอตำรวจสังหารจอร์จ ฟลอยด์ ทุกวันนี้เธอบอกว่า ไม่กล้าออกจากบ้านเพราะกลัวตำรวจจะมาทำร้าย”
วิดีโอจอร์จ ฟลอยด์ ความยาว 8 นาที ว่อนอยู่ในโลกออนไลน์ “ภรรยากับลูกอายุ 12 ของผม ได้ดูไม่รู้กี่ครั้ง ผมเองยังไม่กล้าดูจนจบเลย มันยาวนานเหมือนไม่มีวันจบสิ้น โดยเฉพาะเสียงของเขาที่ร้องขอชีวิต และร้องเรียกหาแม่ของเขา มันกระชากหัวใจมากๆ
“ลูกสาวผมบอกว่า ดูแล้วรู้สึกโกรธมาก จนเธอรู้สึกอยากทำลายข้าวของ แต่เธอก็พยายามจะทำใจให้สงบ เธอตั้งสติได้เมื่อนึกถึงคุณปู่ที่ต่อสู้ด้านสิทธิมนุษยชนโดยไม่ใช้ความรุนแรง”
มาร์ติน ลูเทอร์ คิง เดอะ เติร์ด เล่าต่อว่า การตายของจอร์จ ฟลอยด์ โดยฝีมือตำรวจไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ลูกสาวของเขาได้รับรู้ ก่อนหน้านั้นเธอเคยได้ยินเรื่องของ บรีออนนา เทย์เลอร์ ที่ถูกตำรวจฆ่าตายบนเตียงนอนมาแล้ว นอกจากนี้ เธอยังรู้เรื่องของ อาห์โหมด อาร์เบอรี ในจอร์เจีย และทามีร์ ไรซ์ เด็กอายุ 12 เท่ากับเธอ ในคลีฟแลนด์ เช่นเดียวกับ เอริก การ์เนอร์ ที่มีคำพูดเดียวกับจอร์จ ก่อนถูกตำรวจฆ่าตายคือ “ผมหายใจไม่ออก”
“ประเทศของเรามีเรื่องแบบนี้ตลอดเวลา ลูกสาวผมอายุแค่ 12 เอง ยังตั้งคำถามว่าทำไมประเทศของเราจึงได้โหดร้ายนัก ทำไมคนผิวดำจึงต้องตกเป็นเป้า เธอบอกว่า เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณปู่ถึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสิ่งเหล่านี้
ผมและภรรยา ต้องนั่งพูดคุยกับลูกให้เข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกฎหมายหรือสิ่งที่เขาสอนในมหาวิทยาลัย แต่เราต้องพยายามผลักดันให้เรื่องนี้เข้าไปอยู่ในตัวบทกฎหมายให้ได้ มันจะได้ชัดเจนในการเอาผิดคนที่ประพฤติเหยียดผิว
ลูกสาวผมกลายเป็นนักเรียกร้องสิทธิมนุษยชนไปเรียบร้อยแล้ว เธอยังเคยไปพูดในแคมเปญ March For Our Lives ด้วยนะครับ ตอนนั้นเธออายุ 9 ขวบเอง นี่ขนาดว่าเธอเข้าใจถึงการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชนตั้งแต่เด็ก เธอก็ยังกลัวที่จะออกไปเจอตำรวจนอกบ้านเลย”
“ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมเจอกับตำรวจทั้งดีและเลว พวกเขาเคยปกป้องครอบครัวเราตอนเด็กๆ พวกเขาอยู่กับเราตอนที่พ่อผมถูกฆ่า เผชิญหน้ากับกลุ่มคนเหยียดผิวกับพวกเราตอนที่ต้องไปเจอกับชุมชน แต่พอได้ยินว่า ลูกสาวผมกลัวตำรวจขึ้นมาก็เลยไม่รู้ว่าจะสอนลูกยังไง ผมไม่รู้ว่า เด็กๆ ผิวขาวจะเคยรู้สึกแบบนี้มั้ย แต่ผมเห็นเรื่องแบบนี้ตลอดเวลากับเด็กผิวสี”
มาร์ติน ลูเทอร์ คิง เดอะ เติร์ด บอกว่า การเรียกร้องที่แผ่ขยายไปทั่วโลกครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต “ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเรียกร้องต่อต้านการเหยียดสีผิว มันเกิดขึ้นทั้งเมืองใหญ่ๆ และเมืองเล็กๆ ตั้งแต่เอดินเบอระห์ไปจนถึงซิดนีย์ มันใหญ่กว่าที่ผมเคยเห็นมาตลอดชีวิตเลยครับ
“ลองเปรียบเทียบกับตอนที่ ไมเคิล บราวน์ ถูกฆ่าตาย ตอนนั้นก็มีการประท้วงในหลายเมือง ราวๆ 20-25 ได้มั้ง แต่ตอนนี้มัน 130 เมืองทั่วโลก แล้วก็ที่ผ่านมา ไม่เคยมีคนผิวขาวที่ออกมาเรียกร้องเพื่อการต่อต้านการเหยียดสีผิว แต่ตอนนี้ในบางเมือง คนส่วนใหญ่ที่ออกมาสนับสนุนแคมเปญ #BlackLivesMatter กลายเป็นคนผิวขาวด้วยซ้ำไป
เราไม่เคยเห็นตำรวจทำท่าสัญลักษณคุกเข่า เราก็ได้เห็น ในบางเมืองที่ในอดีตได้ชื่อว่า มีการเหยียดผิวสูง แต่เราก็ได้เห็นผู้คนออกมาเรียกร้องเรื่องนี้อย่างสงบ อย่างที่เมืองฟลินต์ มิชิแกน ที่มีป้ายผ้า #BlackLivesMatter ติดไว้ที่ที่ว่าการอำเภอ หรือหลายๆ แห่งในอังกฤษ ออสเตรเลีย เยอรมนี เบลเยี่ยม และไอร์แลนด์
ผมรู้สึกภูมิใจที่ชาวอเมริกันออกมาช่วยกันเรียกร้องโดยสันติ เช่นเดียวกับอีกหลายๆ แห่งในโลกที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราฝันถึงโลกที่เท่าเทียมกันอยู่แค่เอื้อม โดยส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยกับการทำลายรูปปั้นต่างๆ เก็บเอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจเถอะครับ ว่าเราเคยมีประวัติศาสตร์ที่โหดร้าย และเราจะไม่ดำเนินรอยตามมันอีก” มาร์ติน ลูเทอร์ คิง เดอะ เติร์ด ทิ้งท้าย