xs
xsm
sm
md
lg

4 ซีอีโอผิวสีพูดเรื่องการเหยียดสีผิว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ในจำนวนผู้บริหารบริษัทชั้นนำ ท็อป 500 ของอเมริกา มีซีอีโอผิวสีเพียง 4 รายที่ออกมาพูดเรื่องการเหยียดผิว และเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ จอร์จ ฟลอยด์ ชายชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ที่ถูกตำรวจผิวขาวฆ่าตายโดยเกินกว่าเหตุ


รอเจอร์ เฟอร์กูสัน จูเนียร์ ซีอีโอของทีไอเอเอ (สมาคมกองทุนบำเน็จบำนาญครูแห่งอเมริกา) ออกแถลงการณ์หลังเกิดเหตุฆาตกรรมจอร์จ ฟลอยด์ ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวนับเป็นการกระทำอันโหดเหี้ยม เป็นการเหยียดผิว และการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุของตำรวจที่กระทำต่อสมาชิกของชุมชนแอฟริกัน-อเมริกัน

“วิดีโออันน่าสลดซึ่งบันทึกลมหายใจสุดท้ายของคุณฟลอยด์ คือประจักษ์พยานยืนยันวิกฤตทางสังคมของประเทศนี้เป็นอย่างดี

ไม่ควรมีคนกลุ่มใดที่ต้องตกเป็นเหยื่อของการเหยีดสีผิวหรือเชื้อชาติ การทำให้อับอาย หรือการเลือกปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม

จากโรคระบาดที่เราต้องเผชิญในปี 2020 แล้ว ในด้านอื่นๆ เราควรต้องร่วมมือกันโดยไม่มีการแบ่งแยก” รอเจอร์ เฟอร์กูสัน จูเนียร์ กล่าวในแถลงการณ์ของเขา


สำหรับซีอีโอบริษัทยายักษ์ใหญ่ เมิร์ค แอนด์ โค. เคนเนท เฟรเซียร์ แสดงความคิดเห็นเรื่องการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ว่า “วันหนึ่งอาจจะเป็นผมก็ได้”

เคนเนทกล่าวว่า ชาวแอฟริกัน-อเมริกันทุกคนที่ได้เห็นวิดีโอต่างรู้สึกเช่นเดียวกันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ที่เป็นคนผิวดำในสหรัฐฯ

“วันหนึ่งอาจจะเป็นผม หรือชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนอื่น ที่ถูกปฏิบัติราวกับไม่ได้เป็นมนุษย์

แม้ว่าประเทศของเราจะไม่มีกฎหมายที่แบ่งแยกเพศ เชื้อชาติ หรือสีผิวแล้วก็ตาม แต่เราก็ยังปฏบัติกันเหมือนกฎแบบนั้นยังคงมีอยู่ มันเป็นความเชื่อหรือความเคยชิน ผมก็ไม่อาจจะทราบได้ แต่เรายังมีชุดความคิดแบบนี้เกิดขึ้นอยู่จริงๆ ในสังคม

ผมรู้ดีว่าตัวผมอาจจะห่างไกลวงโคจรตรงนั้นมาแล้ว เพราะว่าผมเป็นคนที่มีโอกาสในสังคม ซึ่งช่องว่างของโอกาสตรงนั้นยังคงกว้างมากๆ จริงๆ”


วันที่ 30 พฤษภาคม มาร์วิน เอลลิสัน ซีอีโอของบริษัทรับสร้างบ้านและอุปกรณ์ก่อสร้างชื่อดัง โลว์ส ได้ส่งจดหมายถึงพนักงานบริษัททุกคนเกี่ยวกับเรื่องการเหยียดสีผิว

เนื้อหาในจดหมายบอกเล่าความรู้สึกคับข้องใจของเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ฆาตกรรมจอร์จ ฟลอยด์

มาร์วิน ยังบอกให้พนักงานของเขาร่วมมือกันต่อต้านการเหยียดสีผิว และปฏิญาณว่า บริษัท โลว์ส จะสนับสนุนพนักงานทุกๆ ท่านหากมีใครที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมในสังคม

“การที่เราจะผ่านพ้นเรื่องราวแบบนี้ไปได้ เราจะต้องออกมาเรียกร้องให้การเหยียดผิวหมดไป นี่คือเวลาที่เราต้องร่วมมือกัน ต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน รวมทั้งช่วยกันเยียวยาจิตใจของผู้ที่ถูกกระทำ”


ด้าน ไจด์ ซีตลิน ซีอีโอของบริษัทแฟชั่นชื่อดัง อย่างทาเพสตรี้ ที่มีแบรนด์ดังๆ อย่าง โค้ช เคท สเปด และสจวร์ต ไวต์ซแมน ก็ออกแถลงการณ์ในแอพพลิเคชัน ลิงค์อิน โดยเรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เป็น “วิกฤตการเหยียดผิวครั้งใหม่ของสหรัฐอเมริกา”

ไจด์ ยังบอกด้วยว่า แถลงการณ์ครั้งนี้เขาพูดในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานในทาเพสตรี้แต่อย่างใด

“เราสามารถจะซ่อมกระจกแตกร้าวของร้านเรา และนำเอากระเป๋าใบใหม่ไปวางโชว์ แต่เราไม่สามารถจะนำเอาชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์, อาห์โหมด อาร์เบอรี, บรีออนนา เทย์เลอร์, เอริก การ์เนอร์, เทรย์วอน มาร์ติน, เอมเมตต์ ทิลล์ และอีกหลายๆ คนคืนมาได้ ชีวิตของคนเหล่านี้ล้วนมีค่า” ซีอีโอของทาเพสตรี้ เท้าความไปถึงเหตุการณ์ปล้นร้านค้าแฟชั่นต่างๆ ของบริษัท ระหว่างการประท้วงในสหรัฐ

“สำหรับผม ความเท่าเทียมกันนั้นสำคัญที่สุดในการบริหารงาน แน่ล่ะ บริษัทเรามีแผนระยะยาวในเรื่องนี้อยู่แล้ว และผมก็ยังเชื่อมั่นเสมอว่าสิ่งสำคัญการสร้างสรรค์แบรนด์ให้ประสบความสำเร็จนั้น เป็นไปไม่ได้เลยหากเราไม่ยอมรับเรื่องความหลากหลาย และเราก็ไม่อาจจะทำสำเร็จได้ หากอเมริกาเองก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ เราควรที่จะขยายเรื่องการยอมรับความหลากหลายและความแตกต่างนี้ไปทั่วทั้งโลก”


กำลังโหลดความคิดเห็น