xs
xsm
sm
md
lg

เปิดชีวิตนางฟ้าซินเดอเรลลาไทย “พอร์ช่า-พัชรมนต์ กุลทนันทน์” สะใภ้ “มูนา อัลล์ ซารูนีณ์” เศรษฐินีไทยในดูไบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เรื่องราวความรักอันหวานซึ้งของทายาทมหาเศรษฐีกับสาวงามยังคงเป็นพร็อตอมตะที่เห็นได้บ่อยๆ ในหนังและซีรีส์ แต่ที่น่าสนใจและชวนให้เซอร์ไพรส์เสมอคือ เรื่องราวดั่งเทพนิยายนี้เกิดขึ้นในชีวิตจริง! เมื่อ “Porsha (พอร์ช่า)” หรือ “พู่กัน-พัชรมนต์ กุลทนันทน์” สาวไทยหน้าคมเซย์เยสและเข้าพิธีแต่งงานกับ “อดิล ซารูณีย์” ลูกชายสุดรักสุดหวงเพียงคนเดียวของ “มูนา อัลล์ ซารูนีณ์” เศรษฐินีสาวไทยกับมหาเศรษฐีของดูไบ หลายคนอาจสงสัยว่าสาวไทยผู้โชคดีคนนี้เป็นใครมาจากไหน ถึงไปพบรักกับระดับลูกชายมหาเศรษฐีลูกครึ่งไทยได้ราวกับพรหมลิขิต

กามเทพแผลงศรที่ฟิตเนส
ถึงจะอยู่กันคนละฟากฟ้า แต่พรหมลิขิตก็นำพาให้ทั้งคู่มาพบกันที่ดูไบ เพราะด้วยอาชีพแอร์โฮสเตสของสายการบินเอมิเรตต์ ทำให้ฝ่ายหญิงต้องมาประจำการที่ดูไบ ขณะที่ฝ่ายชาย แม้ตอนที่ทั้งคู่เจอกันจะเป็นช่วงที่ไปเรียนต่อที่อังกฤษ แต่ช่วงเวลาสั้นๆ ตอนซัมเมอร์ที่กลับมาเยี่ยมบ้านที่ดูไบ ก็บังเอิญได้พบกับหญิงสาวซึ่งเขาบอกว่า ปิ๊งตั้งแต่แรกเห็น

“เราเจอกันที่ฟิตเนสที่ดูไบค่ะ คือเราไปออกกำลังกายที่นั่นเป็นประจำอยู่แล้ว วันที่เจอเขา เราไปกับเพื่อนคนไทย ก็คุยภาษาไทยกันปกติ ปรากฏว่าเขาได้ยินเราพูดไทย เลยเข้ามาทักทาย ความรู้สึกเราตอนนั้นคือ คิดว่าเขาพูดภาษาไทยไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ) เลยตัดกลับไปพูดภาษาอังกฤษ มารู้ความจริงทีหลังว่าที่เป็นอย่างนั้นเพราะเขาปิ๊งเราตั้งแต่ตอนนั้น เลยตื่นเต้นมากตอนเข้ามาคุยด้วย (ยิ้ม) เอาจริงๆ วันนั้นตอนเจอกันเราไม่คิดนะว่าเขาจะปิ๊ง เพราะหน้าเรียลมาก ไม่ได้แต่งหน้า แถมผมยังชโลมน้ำมันเพราะตั้งใจจะไปเซาน่าต่อ”



หลังจากการพบกันครั้งแรก พู่กันอาจจะไม่ได้คิดอะไร มองว่าฝ่ายชายคงแค่อยากเป็นเพื่อนกับคนไทย ขณะที่ฝ่ายชายกลับคิดไปไกลกว่านั้น ด้วยการไปค้นหาไอจีพู่กันจนเจอและส่งข้อความมาชวนคุย

“จำได้เลยว่าเขาส่งข้อความมาบอกว่า คุ้นๆ หน้าเราว่าเคยเจอบนเครื่อง หลังจากนั้นก็ชวนไปกินข้าว ตอนนั้นก็เริ่มคิดนิดๆ ว่าเขาจะเข้ามาจีบ เพราะเขาชวนเราไปคนเดียว ไม่ได้ชวนเพื่อนที่เจอที่ฟิตเนสด้วยกัน ตอนนั้นเขานัดเราไปร้านอาหารจีน ไปกินติ่มซำ เชื่อมั้ยไปกันสองคนแต่อาหารเต็มโต๊ะ อารมณ์เหมือนเลี้ยงโต๊ะจีน ซึ่งเราไม่เคยเจอมาก่อน แต่ก็ประทับใจ อย่างน้อยร้านที่เขานัดไม่ใช่ร้านไม่ดี หรือไปแนวดริงก์ แต่เจตนาของการนัดเจอวันนั้นคือ เขาอยากทำความรู้จักเราจริงๆ”

หลังจากก้าวแรกวันนั้น ความรักของทั้งคู่ก็ค่อยๆ ก่อตัว “ช่วงที่เขากลับไปเรียน เราก็ยังได้เจอกัน เพราะเรามีรูตบินไปลอนดอนทุกเดือนอยู่แล้ว หรือบางทีก็ขอเปลี่ยนกับเพื่อน มีวันหยุดก็บินไปหา เดือนหนึ่งได้เจอกัน 4-5 ครั้ง จนปีที่แล้วเขาเรียนจบก็กลับมาที่ดูไบ”

3 ปีของการคบหาดูใจ พู่กันบอกว่า ครอบครัวของฝ่ายชายเปิดรับเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหลังจากฝ่ายชายพาไปแนะนำตัวตอนคบหากันได้ 4-5 เดือน “ตอนที่เขาพาไป เรารู้สึกว่าเขาคบกับเราจริงจัง ทางครอบครัวเขาก็น่ารักกับเรามาก จนปีที่แล้วเขาก็มาปรึกษากับผู้ใหญ่ถึงเรื่องแต่งงาน”


เล่ามาถึงตรงนี้ ใจก็เต้นตามเลยว่า เจ้าบ่าวป้ายแดงจะมีโมเมนต์ขอแต่งงานอย่างไร งานนี้พู่กันเลยตอบแบบไม่กั๊กว่า “จริงๆ ก็เหมือนตกลงกันแล้วว่าจะแต่ง แต่เราก็ยังแอบหวังว่าเขาจะมีโมเมนต์เซอร์ไพรส์ มีวันหนึ่งจะไปเที่ยวทะเลทรายกัน เราก็มีเซนส์ว่าเขาต้องใช้โอกาสนี้ขอแต่งงานแน่ๆ เลยไปซื้อชุดเซตใหม่ แต่งสวยเลย ปรากฏว่าทั้งวันก็ไม่ขอ เราก็เที่ยวเพลินจนลืม พอกลับมาที่พักจะไปอาบน้ำ ลบหน้าออกเรียบร้อย เขาก็มาคุกเข่าขอแต่งงาน ที่น่ารักคือ ด้วยความที่เขาเป็นคนขี้อาย เลยเลือกรอขอแต่งงานตอนอยู่กันสองคน แต่ก็ยังตื่นเต้นจนเปิดกล่องแหวนกลับด้าน (หัวเราะ) แต่แค่นั้นเราก็น้ำตาไหลแล้ว ซึ้งมาก”

ถามว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ความรักทั้งคู่สุกงอม “เขาเคยบอกว่าชอบเราเพราะเรานิสัยเหมือนแม่เขา (ยิ้ม) ที่สำคัญคือ เราเป็นคนใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ สังเกตว่าเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร ซึ่งนิสัยนี้เราอาจจะติดมาจากการเป็นแอร์ฯ ที่ต้องใส่ใจผู้โดยสารทุกคน อีกอย่างคือ เราค่อนข้างสนิทกัน เลยคุยกันได้ทุกเรื่อง เหมือนเป็นที่ปรึกษา”

ส่วนสิ่งที่ฝ่ายหญิงรู้สึกประทับใจฝ่ายชายคือ เป็นผู้ชายที่อบอุ่น รักครอบครัว “เขาดูแลเราเหมือนคนในครอบครัว ตั้งแต่เป็นแฟน รักเราแบบไม่มีเงื่อนไข ดูแลเราดีมาก ตอนแรกที่คบกัน เราไม่รู้นะว่าคุณพ่อคุณแม่เขาเป็นใคร เพราะเราไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ไม่ดูรายการทีวี จนเขามาฟอลโลว์เราในไอจี เราถึงไปดูไอจีเขา เห็นรูปครอบครัวเขา แล้วก็งงว่าทำไมมีฟอลโลเวอร์คนไทยมาคอมเมนต์ เลยสกรีนช็อตไปถามเพื่อนแอร์ฯ ด้วยกัน ถึงได้รู้ว่าคุณแม่เขาเป็นใคร เราก็เลยไปตามฟอลโลว์ไอจีคุณแม่เขา คุณแม่เขาก็ฟอลโลว์กลับ”


ความรักไม่แพ้ความแตกต่าง
ผ่านด่านอุปสรรคเรื่องระยะทางมาได้แบบชิลๆ มาถึงความต่างทางวัฒนธรรม เรื่องใหญ่ที่ทำเอาหลายคู่ต้องเลิกรา แต่ไม่ใช่สำหรับอดิลและพู่กัน

“โชคดีที่ครอบครัวส่งไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ทำให้เราได้ฝึกเรื่องการปรับตัว ยอมรับความแตกต่าง อย่างที่รู้ว่า เมื่อต้องแต่งงานกับชายที่เป็นมุสลิม ฝ่ายหญิงต้องเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามตาม พู่กันตอบชัดว่ารับได้ไม่มีปัญหาเพราะไม่ใช่เรื่องใหญ่ อะไรที่ทำให้ชายที่รักได้ก็ยินดี ส่วนเรื่องการปรับตัวหลังแต่งงาน เธอบอกว่าโชคดีที่สนิทกับทางครอบครัวสามีตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ทำให้ปรับตัวง่ายขึ้น

“อดิลเอง คุณแม่เขาเลี้ยงมาดีมาก เขามีความเป็นไทยสูงมาก พูดไทยได้ กินอาหารไทยได้ เข้าใจวัฒนธรรมคนไทย แต่ก็ยังมีความเป็นอินเตอร์เพราะอยู่เมืองนอกตลอด รู้สึกโชคดีที่มาเจอเขา ส่วนเรื่องที่ว่าชายมุสลิมสามารถมีภรรยาได้ 4 คน ก็จริงค่ะ แต่ส่วนใหญ่ถ้าจะมีภรรยาถัดมาต้องเพราะภรรยาติดเงื่อนไขอะไรสักอย่าง เช่น มีทายาทไม่ได้ แต่เท่าที่เห็นบ้านสามีก็แต่งงานมีภรรยาแค่คนเดียว”


เปิดโปรไฟล์ซิลเดลเรลลาที่สาวๆ ต้องอิจฉา
ลองมาทำความรู้จักฝ่ายหญิงกันบ้าง กว่าจะมาพบรักกับทายาทเศรษฐีดูไบ เธอเป็นใครมาจากไหน

“สมัยเด็กดื้อมาก เรียนที่ราชินีบนจนถึง ม.3 คุณแม่ก็ส่งไปเรียนที่อินเดียคนเดียว 2 ปี ตอนแรกที่ไป culture shock มากๆ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน เพราะที่โรงเรียนมีแต่อาหาร vegetarian อาทิตย์หนึ่งจะมีเนื้อสัตว์แค่ 2 ครั้ง ทำให้ต้องปรับตัวเรื่องการกินไม่พอ แรกๆ ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง ทำให้สื่อสารกับเพื่อนไม่ได้ เวลาเรียนก็ต้องเรียนหนักกว่าคนอื่น บางทีเขามีให้อ่านหนังสือตอนเย็นหลังเลิกเรียน เราอ่านถึงตี 2 ตี 3 บางทีก็ตื่นมาอ่านตอนเช้า แต่พอเวลาผ่านไป ภาษาก็ค่อยๆ ดีขึ้น จนผ่านไป 1 ปีคุณพ่อคุณแม่ไปหา พูดภาษาไทยติดๆ ขัดๆ เลย เพราะตอนอยู่ที่โน่นไม่มีใครพูดไทยด้วย” พู่กันย้อนวันวานอย่างออกรส

แม้จะเป็นบทเรียนชีวิตสุดหินแต่ก็ถือว่าล้ำค่า เพราะทำให้เธอได้ฝึกความเข้มแข็ง อยู่ได้ด้วยตัวเอง สามารถปรับตัวได้กับหลากหลายวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนของมุมโลก และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เธอไม่กลัวที่จะผจญภัยไปบนโลกกว้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“พอเรียนที่อินเดียไป 2 ปี ก็ขอคุณแม่ย้ายไปเรียนที่นิวซีแลนด์ เพราะนอกจากจะมีเพื่อนที่อินเดียหลายคนย้ายไปที่นั่น ตัวเราเองก็อยากย้ายไปอยู่ประเทศที่สบายขึ้น ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ และอาหารการกิน ตอนนั้นคุณแม่ก็โอเค ช่วยดูโรงเรียนให้ สุดท้ายเลือกส่งไปเรียนที่โรงเรียนที่อยู่ในย่านบ้านนอกของนิวซีแลนด์ เพราะไม่อยากให้เกาะกลุ่มกับนักเรียนไทยกลัวว่าจะเกเร เรียนจนจบเกรด 13 ก็ขอคุณแม่ไปเรียนต่อปริญญาตรีที่จีน ซึ่งเป็นยุคที่จีนเริ่มบูม คุณแม่ก็เห็นด้วยและเป็นธุระให้เช่นเคย จนเราสอบเข้าไปเรียนต่อด้านการค้าระหว่างประเทศกับเศรษฐศาสตร์ (ภาคอินเตอร์) ได้สำเร็จ”


หลังจากเรียนจบ 4 ปีก็กลับมาทำงานที่เมืองไทย เริ่มจากเป็นพนักงานบริษัท ทำอยู่ 7 เดือนก็ลาออกไปสมัครเป็นแอร์ฯ ของสายการบินเอมิเรตส์ ซึ่งใช้บริการตั้งแต่เด็กและประทับใจ จนบอกตัวเองว่าต้องเป็นแอร์ฯ ที่นี่ให้ได้

4 ปีเต็มกับการทำงานเป็นแอร์ฯ พู่กันมองว่าประสบการณ์จากการทำงานในสายการบินที่มีเที่ยวบินไปทั่วโลก ทำให้เธอได้พบปะกับผู้โดยสารที่มีความหลากหลาย ตั้งแต่ระดับ 1 ถึง 10 เจอมาหมด ผ่านมาทุกรสชาติ โดยเทคนิคส่วนตัวในการสลัดความเครียด หรือปัญหาจากการทำงานไม่ให้มาบั่นทอนความสุขในชีวิตคือ เมื่อลงจากเครื่องก็ปล่อยให้ปัญหาลอยไปกับสายลม

สำหรับเป้าหมายต่อไปนั้นเธอบอกว่า “เพิ่งลาออกจากงานมาได้ไม่ถึงเดือนค่ะ เพื่อออกมาเตรียมงานแต่งที่ไทย และคิดว่าจะได้มีเวลากับครอบครัว เพราะถ้าเป็นแอร์ฯ ก็ต้องเดินทางตลอด หลังจากนี้คิดว่าจะทำธุรกิจของตัวเองกับสามีด้วยการนำเครื่องหนัง exotic จากไทยไปขายที่ดูไบ ตอนนี้ทำไปแล้ว 70% เราจะเข้ามาช่วยดูเรื่องการตลาด โซเชียลมีเดีย ออนไลน์ น่าจะเปิดตัวประมาณเดือนหน้า รอติดตามนะคะ” สาวสวยทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้ม


กำลังโหลดความคิดเห็น