>>ทายาทคนสุดท้องในครอบครัวพี่น้อง 5 คนของเจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ “ศิริญา-วิษณุ เทพเจริญ” แห่งอาณาจักร “นุศาสิริ” กำลังเป็นที่จับตามองทั้งในแวดวงสังคมชั้นสูง และสังคมธุรกิจ บุคคลที่เรากำลังกล่าวถึงคือ “มันนี่-ศิรวัฒน์ เทพเจริญ” หนุ่มน้อยผู้ต้องไกลบ้านไปเรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษตั้งแต่วัย 11 ขวบ
“ตอนเด็กๆ ผมมีวีรกรรมเยอะมากครับ ทั้งดื้อ ทั้งซน แถมขี้เกียจเรียนหนังสือด้วย” หนุ่มมันนี่เล่าย้อนอดีตให้ฟัง “คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ได้สปอยล์นะครับ แค่เวลาผมทำอะไรผิด ผมมักจะหลบผิดได้” เขาบอกพลางหัวเราะ “พี่ชายกับพี่สาวมักจะโดนตลอด แต่ผมไม่โดน”
ด้วยเหตุผลเพราะความดื้อความซนนี่เอง ที่ทำให้เขาต้องถูกส่งตัวไปอังกฤษ “ทำไมตอนเด็กผมดื้อ ผมไม่ทราบเหมือนกัน ยังงงอยู่เลย ดื้อแบบไม่ฟังใครด้วย มาเริ่มฟังเริ่มเชื่อคุณพ่อกับคุณแม่ตอนใกล้จะไปอยู่อังกฤษนี่หละ พอไปอยู่โน่นก็ดีขึ้น ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลย ผมไปอยู่บอร์ดิ้ง สคูล ตอนนั้นเหลือพี่ๆ เรียนอยู่ที่นั่นแค่ 2 คน ผมต้องเอาตัวรอดแล้ว เพราะพึ่งพาใครไม่ได้แล้ว”
นับจากตอนนั้นถึงตอนนี้ก็ 10 ปีแล้ว ปัจจุบันมันนี่เป็นนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล และเป็นเส้นทางที่เขาเลือกด้วยตนเอง
“คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูแบบบุฟเฟต์ครับ ท่านจะไม่บังคับอะไร ถ้าไม่กิน คุณแม่จะบอกว่าไม่ต้องกิน หิวเมื่อไหร่ก็กินเอง ไม่บังคับ ไม่ป้อน ไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องไปเรียน โหดหน่อย แต่ก็ดีนะ เพราะถ้าไม่โหดตอนนั้นโตขึ้นผมคงเสียคน”
มันนี่พูดถึงบุพการีว่าบุคคลทั้งสองมีความแตกต่างกัน “ผมได้จากคุณพ่อและคุณแม่คนละอย่าง คุณพ่อจะเนี้ยบ ดีเทลต้องเป๊ะ ทั้งเรื่องงานและเรื่องที่บ้าน ส่วนคุณแม่จะร้อนๆ รีบๆ แต่แม่จิตใจดี ใจเย็น ไม่เครียด คิดแต่เรื่องโพสิทีฟ ผมได้ตรงนั้นของแม่มา”
บริษัท วิสทีเรีย จำกัด ที่มันนี่ก่อตั้งเป็นธุรกิจแรกของตนเองเมื่อปีกลาย เขาสะท้อนความคิดถึงผู้เป็นบิดา “อันนี้ผมได้มาจากคุณพ่อครับ คือข้าวของทุกอย่างในบ้านต้องเนี้ยบ ต้องดูแล แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเราไม่มีเวลามากพอที่จะดูแล ผมอยากให้ข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงสามารถอยู่ทน อย่างเก้าอี้หุ้มกำมะหยี่ ซึ่งดูแลยาก ต้องคอยระวังอยู่ตลอด”
บริษัทของเขาดำเนินกิจการในด้านการดูแลและทำความสะอาดเรือยอชต์ เครื่องบินส่วนตัว รถซูเปอร์คาร์ และเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังระดับโลก โดยใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และการบริการระดับมืออาชีพที่ได้รับมาตรฐานสากล ตามสโลแกน “เราจะดูแลสินทรัพย์ที่มีค่าของคุณ ให้คงอยู่และดูเสมือนใหม่ตลอดเวลา”
“ผมคิดว่าผมรีบทำตรงนี้ก่อน ดีกว่าจะรอให้เรียนจบ มันยังอยู่ในช่วงลองผิดลองถูกได้ แม้ว่าจะไม่ได้ลุยเต็มร้อย แต่ก็ได้ลุยกับมัน” มันนี่บอก นอกเหนือจากบริษัท วิสทีเรีย จำกัด แล้ว เขายังทำธุรกิจเครื่องบินเช่าเหมาลำ (Charter) ด้วย ในนาม Nusa Aviation Chartered by Visterior
“ตอนนี้ตลาดเครื่องบินเช่าแบบเหมาลำกำลังโต รวมถึงตลาดการท่องเที่ยวกำลังบูม นักธุรกิจบางคนจะไปต่างจังหวัด เขาอยากจะบินไปด้วยเครื่องบินส่วนตัวมากกว่าเครื่องบินโดยสารธรรมดา ผมใช้วิธีเอาเครื่องบินของคนอื่นมาบริหาร เรือยอชต์ก็เหมือนกัน เราให้ความสำคัญในเรื่องของความสะดวกสบาย และลูกค้าสามารถจ่ายในราคาที่พิเศษกว่าคนอื่น ราคาของเราสมเหตุสมผลใกล้เคียง และใกล้กับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งนักบิน พนักงานต้อนรับบนเครื่อง และการอำนวยความสะดวกต่างๆ”
ส่วนธุรกิจครอบครัว มันนี่ยอมรับว่าเขายังมีโอกาสได้ดูแลด้วย “เพราะผมเป็นคนชอบอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้ว ผมมี Passion ด้านการออกแบบด้วย แต่คุณแม่ก็ให้ดูเป็นโปรเจกต์ไป ตามที่ตัวผมเองชอบหรือผมอยากทำ แต่ไม่ได้ลุยเต็มที่เหมือนกัน เข้ามา Observe ข้อมูลมากกว่า รอให้เรียนจบแล้วผมก็ต้องกลับมาช่วยงานของครอบครัวอยู่แล้ว ผมเองก็ซึมซับธุรกิจของครอบครัวนะครับ ที่บ้านเราคุยเรื่องธุรกิจกันตลอด แต่ไม่ใช่คุยกันแบบเครียดนะครับ คุยกันแบบสนุก
“ช่วงนี้ผมอยู่ในระหว่างการทดลอง ลองทำโน่นนี่ ผมคิดไม่ค่อยเหมือนพี่น้องคนอื่นในครอบครัว อยากลองทำอะไรที่แปลกๆ ออกไป ค่อนข้างติสต์กว่าใครในบ้าน” เขาบอกพลางหัวเราะ
แรงบันดาลใจในการทำงานทั้งหลายทั้งปวงที่มี มันนี่สารภาพว่าเขาได้มาจากผู้เป็นมารดา “คุณแม่เป็นคนบ้างานมาก เวิร์กไม่หยุด ความคิดมีแต่เรื่องงาน แล้วเวลาคุณแม่ทำงาน คุณแม่จะไม่เครียด เขาเก่ง และชอบทำงาน ทำแบบมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำ”
เมื่อตัดสินใจทำธุรกิจของตนเองแล้ว มันนี่จึงต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างอังกฤษและเมืองไทย
“ชีวิตผมที่อังกฤษค่อนข้างสบายๆ ครับ” เขาเล่า “เรียนก็สนุกมาก เรียนเสร็จก็กลับบ้าน ตอนนี้ผมแชร์บ้านกับเพื่อนที่โน่นอีก 7 คน ไปเที่ยวกันบ้างนานๆ ครั้ง นอกนั้นก็ออกไปกินข้าวนอกบ้านกัน แต่ถ้าเป็นช่วงวันหยุด หลังจากทำงานเก็บตังค์กันมาแล้ว ก็จะออกเดินทางท่องเที่ยวกับเพื่อนๆ ออกเรือไปเที่ยวแคริบเบียนบ้าง อันนี้หมายถึงเรียนเสร็จแล้วนะครับ คุณพ่อคุณแม่สั่งไว้เลยว่า ต้องมีความรับผิดชอบ”
จุดหมายปลายทางในยุโรปที่เขาชอบ คือ เวนิสกับฟลอเรนซ์ที่อิตาลี เขาบอกเหตุผลว่า “ผมชอบศิลปะ และอิตาลีเป็นประเทศแห่งศิลปะเลย ผมชอบไปดูงานศิลปะ ดูสถาปัตยกรรม ดูวัฒนธรรมของเขา”
เมื่อถามถึงอนาคตวันข้างหน้า เมื่อสำเร็จการศึกษา หนุ่มน้อยพูดตอบอย่างไม่ลังเล “ผมวางแผนไว้ว่า หลังจากเรียนจบที่อังกฤษแล้ว ผมอาจจะไปประเทศจีน เรียนต่อภาษา หรืออาจจะอยู่ที่อังกฤษต่อ เพื่อฝึกงานกับบริษัทชื่อดัง อย่าง เดวิด ชิปเปอร์ฟิลด์ หรือนอร์มัน ฟอสเตอร์ ผมตั้งเป้าสูงระดับโลกไว้ก่อน ถ้าได้ฝึกงานกับเขา ได้ความรู้ ได้ชื่อเสียงจากเขามา มันก็คุ้มค่าที่จะอยู่ต่อ แต่อันนี้ผมยังไม่กำหนดตายตัว”
ส่วนภาพที่เขาคิดฝันไว้ในอีก 5 ปีข้างหน้า “ถึงตอนนั้นหวังว่าผมคงจะมีโปรเจกต์สถาปัตย์ หรือผลงานบ้านเป็นของตัวเองแล้วหละ มีธุรกิจที่ไปไกลขึ้น
“และผมคิดว่าผมคงไม่อยู่ที่เมืองไทย แต่ยังไม่แน่นะครับ” มันนี่กล่าวทิ้งท้ายปิดการสนทนา
Collected Items
“ผมสะสมนั่นนี่เยอะมาก เมื่อก่อนผมชอบสะสมหนังสือ แล้วเปลี่ยนมาสะสมรถและซีดี เพราะผมรู้ว่าในอนาคตเขาจะไม่ผลิตซีดีแล้ว ผมซื้อมาสะสม เก็บไว้เป็นกล่องๆ
“รถนี่ของโปรดอยู่แล้ว ผมชอบรถสปอร์ต คุณพ่อเคยเปิดโชว์รูมที่อุดรธานี ผมไปที่นั่นก็จะไปเล่นรถขยับรถไปมา เล่นจนชอบ แต่ก่อนผมมีโมเดลรถเยอะกว่านี้นะ มันเยอะมากเสียจนต้องบริจาคออกไปบ้าง ผมสะสมเป็นร้อยๆ คันเลย ทั้งรถโบราณ รถสปอร์ต ที่เหลือตอนนี้ก็ตั้งโชว์ไว้เฉยๆ
“ผมชอบรถคลาสสิกนะ เพราะความเป็นวินเทจของมันจะมีดีเทลเยอะ ส่วนรถสปอร์ตค่อนข้างเกลื่อน ผมชอบสะสมอะไรที่มันไม่ค่อยมีมากกว่า ส่วนใหญ่ผมได้จากยุโรปนั่นละครับ เคยซื้อหอบกลับมาเป็นลังเลย รถคลาสสิกคันที่ชอบที่สุดคือ บูกัตตี้ กับโรลส์รอยซ์ ทุกวันนี้ผมยังหาซื้อโมเดลไม่ได้ เคยเห็นเขาประมูลกัน แต่มันแพงเกินไป ผมมองว่าการไปเสียเงินตรงนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ ช่วงหลังๆ ผมไม่ค่อยซื้อสะสมแล้วครับ มันรก (หัวเราะ)
“ตอนนี้เริ่มหันกลับมาสะสมหนังสือใหม่แล้ว โดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมและอินทีเรีย ต้องค่อยๆ ซื้อสะสมไปเรื่อยๆ”
IDOL
“เดวิด ชิปเปอร์ฟิลด์ คือไอดอลของผม ผลงานที่ผมทำตอนเรียนส่วนใหญ่ได้อิทธิพลมาจากเขาเกือบทั้งหมด โชคดีที่เดวิดกำลังออกแบบบ้านเพื่อนของผมอยู่ตอนนี้ ผมอยากฝึกงานกับเขามาก เคยกระซิบบอกเพื่อนเหมือนกันว่าช่วยบอกเขาหน่อยให้เขารับผมเข้าฝึกงานด้วย เขาเป็นท็อป 5 ของโลก ออกแบบอะไรเรียบๆ นิ่งๆ หรูๆ ผสมผสานความเป็นโมเดิร์นกับอาคารโบราณได้ ผมชอบความคิดของเขา ที่เอาแพตเทิร์นของอาคารโบราณมาใช้ในอาคารสมัยใหม่ ทำให้ความเรียบง่ายดูเข้ากับยุคสมัยโบราณได้อย่างลงตัว” :: Text by FLASH