>>“เฟิม หงสนันทน์” หนุ่มชื่อสั้นๆ รูปร่างสูง สง่า วัย 33 ปี เป็นบุตรชายคนที่ 3 ในครอบครัวพี่น้อง 4 คนของ “ทศพร” กับ “สิริมา (ศรีวิกรม์) หงสนันทน์” ก้าวผ่านวันวัยของการเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิต จากเส้นทางที่เลือกด้วยความชอบส่วนตัว กระทั่งปรับโหมดเข้าสู่เส้นทางธุรกิจที่ครอบครัวก่อร่างสร้างฐานไว้มานานถึง 2 เจเนอเรชัน
“เฟิม หงสนันทน์” ไปใช้ชีวิตในช่วงวัยเด็ก หลังเรียนจบชั้นประถมศึกษาที่ 6 ที่โรงเรียนประจำในประเทศอังกฤษ จนเรียนจบระดับปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง สาขาออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน จากสถาบัน Surrey Institute of Art and Design ที่นั่น ก่อนกลับมาทำงานด้านออกแบบผลิตภัณฑ์ สายงานที่ร่ำเรียนมา กับริษัท ซีรีบรัม ดีไซน์ จำกัด อยู่กว่า 2 ปี เคยได้รับรางวัลผู้ส่งออกสินค้าไทยดีเด่น โครงการรางวัลสินค้าไทย ที่มีการออกแบบในช่วงปี 2550-2551 จากนั้นไปศึกษาต่อปริญญาโทจนสำเร็จ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต ที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เฟิมเข้ามาสืบต่อกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัว ในบริษัท เกษรพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด “โปรเจกต์แรกที่ผมได้ทำตั้งแต่ต้นจนจบคือคอนโดมิเนียม โครงการ Mode สุขุมวิท 61 ซึ่งเป็นลักชูรีคอนโด อาคาร 8ชั้น จำนวน 2 ตึก” ซึ่งเขาสร้างผลงานสำเร็จลุล่วงภายในเวลา 3 ปี
ปัจจุบันเขาบริหารงานในตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด ของบริษัท เกษร ไพรเวท อิควิตี้ จำกัด และบริษัท เกษรพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด รับผิดชอบในส่วนของการมองหาโอกาสทางการตลาด ออกแบบผลิตภัณฑ์และพัฒนาแบรนด์ให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการจัดแคมเปญส่งเสริมการขาย นอกจากนี้ยังได้พัฒนาโปรแกรม บริหารประสบการณ์ลูกค้าใหม่ ให้กับบริษัท เกษรพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด อีกด้วย
“โครงการของเราส่วนใหญ่เน้นที่ทำเลซึ่งมีศักยภาพในการขยายตัวและเป็นที่ต้องการของผู้คน เรามักจะเลือกโลเกชั่นที่มีศักยภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคต ส่วนใหญ่จึงอยู่ใจกลางเมือง” เฟิมย้ำว่า โครงการของเกษรพร็อพเพอร์ตี้ค่อนข้างนีต จึงมีความแตกต่างจากที่อื่น
โครงการใหม่ Tela Thonglor ซึ่งกำลังจะปรากฏขึ้นเป็นคอนโดมิเนียม 32 ชั้น บนพื้นที่ประมาณ 1.7 ไร่ ตรงบริเวณปากซอยทองหล่อ 13 ที่อยู่ในความดูแลของเฟิม ก็เป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของเขาเช่นกัน “ความโดดเด่นของโครงการนี้อยู่ที่ทำเลเหมือนกัน บริเวณนี้เป็นที่รู้จักกันดี เนื่องจากเป็นที่ตั้งเดิมของร้านต้นเครื่อง ที่นี่คือไลฟ์สไตล์ใหม่ของที่พักอาศัย ตรงนี้เราพยายามนำเสนอตลาดลูกค้าที่ต้องการอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชูรีใจกลางซอยทองหล่อ” ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2562
“งานบริหารไม่มีคำว่าง่ายหรอกครับ” เฟิมบอกพลางหัวเราะ “มันยาก แต่ก็ท้าทาย และเราต้องเข้าใจด้วยว่า ผู้บังคับบัญชาเราต้องการให้เราบริหารงานแบบไหน บางครั้งมันจะมีช่องว่างระหว่างวัยที่เราต้องหาวิธีสร้างความเข้าใจในวิธีคิดแบบใหม่ที่เราพยายามจะนำเสนอว่าดีอย่างไร
“ตอนเด็กๆ ผมไม่เคยวาดภาพหรอกครับว่าอนาคตผมจะเป็นนักธุรกิจ แต่รู้ว่าวันหนึ่งผมต้องมาทำงานตรงนี้ ว่าไปแล้วมันเป็นสิ่งที่ผมชอบอยู่แล้ว อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการสร้างประสบการณ์ ไม่ว่างานดีไซน์ งานแบรนดิ้ง หรืองานที่ลูกค้าสามารถรู้สึกได้ว่ามันมีความแตกต่าง และธุรกิจก็เป็นเครื่องมือหนึ่งในการทำสิ่งที่เราชอบให้เกิดขึ้นได้”
ชีวิตวัยเด็ก เฟิมเล่าว่าเรื่องงานหรือธุรกิจของพ่อและแม่มักไม่ค่อยถูกหยิบยกมาพูดคุยกันในครอบครัว “คงเพราะมันเป็นเรื่องเครียดกระมังครับ ผมมาเรียนรู้ได้ตอนโตแล้ว” ถึงกระนั้นก็ยังมีการประชุมระหว่างสมาชิกครอบครัวบ้างปีละครั้งหรือสองครั้ง เพื่ออัปเดตว่าที่บ้านจะทำอะไร จะดำเนินธุรกิจไปทิศทางไหน นั่นเป็นเพราะว่า พ่อและแม่คงอยากให้ลูกๆ ได้เรียนรู้ด้วย
“คุณพ่อกับคุณแม่จะคอยให้แนวทางมากกว่า ส่วนลูกๆ จะเป็นคนเลือกเองว่าใครอยากจะไปทางไหน ไม่มีการบังคับ” เฟิมเล่าถึงการเลี้ยงดูของบุพการี “ผมสนิทกับทั้งคุณพ่อและคุณแม่ครับ คุณแม่ทำหน้าที่ดูแลลูกๆ ทั้ง 4 คน จนตอนนี้น้องคนสุดท้องอายุ 24-25 ปีแล้ว แต่ยังเรียนที่อังกฤษ คุณแม่ก็ยังคอยห่วงคอยดูแลอยู่”
การไปเรียนอังกฤษตั้งแต่เด็ก เฟิมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเลย เขาบอก ตั้งแต่เรื่องการบริหารเวลา สิ่งที่ต้องการ หรือแม้กระทั่งการหาเงิน รวมถึงสังคมที่เขาไปใช้ชีวิต
“ผมไปอยู่โรงเรียนประจำที่อังกฤษตั้งแต่เด็ก เรียนรู้และรู้จักคนอื่นๆ ที่มีแนวความคิดคล้ายๆ กัน จนกระทั่งพอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยถึงรู้สึกได้ว่าเหมือนไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ที่มีคนหลายประเภท หลากหลายพื้นเพ มุมมองความคิดแตกต่าง ซึ่งดีนะครับ มันทำให้เราเข้าใจอะไรหลายมิติมากขึ้น
“ผมไม่ได้ไปใช้ชีวิตแบบคุณหนู เพราะผมต้องช่วยเหลือตัวเอง ถ้าจะมีอารมณ์คุณหนูอยู่บ้างก็นานๆ ครั้ง เวลาที่คุณพ่อกับคุณแม่ไปเยี่ยมที่โน่น ท่านจะพาไปกินร้านอาหารดีๆ แต่ผมไม่ใช่เด็กสปอยล์เลยนะ ที่ต้องมีรถเฟอร์รารี หรือปอร์เช่ ผมไม่ใช่เด็กแบบนั้น ผมจะได้ในสิ่งที่เหมาะสมกับอายุ เหมาะสมกับความรับผิดชอบในการดูแล”
เมื่อถามถึงสิ่งที่บุพการีอบรมปลูกฝังเมื่อครั้งวัยเด็ก เฟิมเล่าว่า พ่อกับแม่เน้นย้ำเรื่องการดูแลพี่น้อง “ซึ่งผมก็ทำมาโดยปกติ แต่พอมาถึงตรงจุดนี้ วัยนี้แล้ว ผมรู้สึกได้เองว่ามันถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่ และพี่น้อง
“ผมรู้สึกได้ครับว่าตัวเองเป็นที่คาดหวังของครอบครัว ผมต้องประสบความสำเร็จกับหน้าที่การงาน และนำพาธุรกิจที่คุณพ่อกับคุณแม่ได้สร้างมา ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และสไตล์ของครอบครัวที่วางไว้ มีความเป็นตัวเราเองส่วนหนึ่ง แต่ก็ใส่หมวกของครอบครัวไว้”
เฟิมยังเล่าถึงเรื่องความกลัวของตนเอง เขาบอกว่า “ถ้าเรื่องงาน ก็คงเป็นเรื่องบุคลากรไม่เพียงพอ หรือบางอย่างที่เราวางแผนไว้อย่างดีแล้วก็จริง แต่พอถึงเวลาปฏิบัติกลับมีอุปสรรค แต่ทุกอย่างมันก็เป็นความท้าทายครับ แม้กระทั่งความกลัว บางครั้งเราก็ต้องกระตุ้นตัวเองให้ลุกขึ้นสู้ เพื่อให้ความกลัวที่ตัวเองมีอยู่ลดน้อยลง”
นอกเหนือจากงานฝ่ายขายและการตลาด เฟิมยังมีงานบริหารในกิจการร้านอาหารด้วย นั่นคือร้านอาหารไทยชื่อ Paste ซึ่งมีสาขาหนึ่งในเกษรพลาซ่า “เป็นไทย ไฟน์ ไดนิ่ง ที่นำเสนอในรูปแบบที่ดูสดชื่น แปลกตา อร่อย และกลมกล่อม แต่รสชาติยังเป็นไทยแท้” เขาบอก “ผมชอบอาหารครับ ที่ร้านของเราเป็นสูตรอาหารจากช่วงปี พ.ศ. 2423-2483 สมัยที่ไทยเริ่มติดต่อค้าขายกับยุโรป อินเดีย และจีน” ร้านของเขามีตำรับโบราณที่นำมาพัฒนาและดัดแปลง ให้เป็นเมนูอาหารไทยร่วมสมัยที่คงรสชาติดั้งเดิมเอาไว้
แต่ก่อนที่จะมาเปิดร้านอาหาร Paste เฟิมสารภาพว่าเขาเคยคิดและตัดสินใจผิดพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง “ก่อนหน้านี้ผมเคยร่วมหุ้นเปิดร้านอาหารกับเพื่อนๆ ชื่อร้าน Gossip แถวทองหล่อนี่ล่ะ ทำอยู่ประมาณปีสองปีก็ต้องปิด เพราะเราสู้ค่าเช่าไม่ไหว ครั้งนั้นเป็นการตัดสินใจลงทุนที่ผิด อาจเพราะมีไฟในการทำร้านอาหารมาก ก็เลยรีบตัดสินใจทำ
“ตอนนั้นได้เรียนรู้อะไรเยอะ ตั้งแต่เรื่องผู้ถือหุ้นซึ่งมีเยอะ สภาพโดยรวมของตลาดทองหล่อ ที่มีร้านเปิดใหม่เยอะมาก ขณะที่หุ้นส่วนของเราแทบไม่มีใครมีเวลาเต็มที่สำหรับการเข้ามาดูแลกิจการ ผมเป็นตัวหลักก็จริง แต่ก็ทำได้ไม่เต็มที่ อีกอย่างค่าเช่าก็ขึ้นทุกๆ สามสี่เดือน พอค่าเช่าแพง จากกำไรก็เริ่มไม่กำไรแล้ว”
ประสบการณ์ครั้งนั้นมีผลสรุปให้เขาว่า “เหนื่อย ไม่ได้ไปไหน แต่ก็ได้ความรู้ และได้ทีมงานที่ดี”
ทุกวันนี้เฟิมยังทำงานอาทิตย์ละ 5-6 วัน “จันทร์ถึงศุกร์ หรือบางครั้งวันเสาร์ผมก็เข้ามาช่วยงานทีมฝ่ายขาย ส่วนงานร้านอาหาร ปกติแล้วต้องเข้าไปทุกคืน แต่ช่วงนี้พอดีร้านเริ่มอยู่ตัวแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องเข้าไปทุกวัน มีทีมงานดูแลแทน”
ในช่วงที่มีเวลาว่างเขายังไปออกกำลังกายเช่นปกติ “ช่วงวันธรรมดาผมจะเข้ายิม ถ้าเป็นหน้าสงกรานต์ผมจะไปเล่นไคต์เซิร์ฟ สิ้นปีก็ไปเล่นสโนว์บอร์ด ผมชอบหิมะตั้งแต่เด็กแล้ว ส่วนใหญ่ไปที่ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ หรือออสเตรีย อีกอย่างที่ชอบคือดำน้ำ ผมดำน้ำทะเลมาตั้งแต่อายุ 11-12 ปี เดือนหน้านี่ก็วางแผนไว้ว่าจะไปดำน้ำที่กาลาปากอส”
ส่วนแผนการเรื่องครอบครัว ซึ่งเป็นคำถามช่วงท้ายของบทสนทนา เฟิมเล่าด้วยใบหน้ายิ้ม “ความจริงผมมีแผนที่จะแต่งงานตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น เพราะปีที่แล้วผมยุ่งมากเลย” พร้อมเปรยให้ฟังว่ายามนี้เขาครองตัวเป็นโสดอีกครั้ง
“ที่บ้านผมมั่นใจครับว่า ถ้าผมจะเลือกใครผมก็คงเลือกคนดี อยู่ด้วยกัน ไม่ทะเลาะกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” เขาว่า “เวลาเจอใครผมดูไม่นานครับ ซึ่งอาจจะเป็นข้อเสียที่ดูไม่นานพอ” เฟิมจบคำพูดด้วยเสียงหัวเราะ “ว่าแต่ตอนนี้ผมแทบไม่ได้เจอใครเลย”
:: Collected Items
ความที่เคยเป็นดีไซเนอร์ ผมเลยชอบของดีไซน์แบบนี้ ผมให้ค่ากับงานที่มีไอเดีย อย่างของเหล่านี้เป็น Timeless Pieces ผมสะสมเพราะมันคือประติมากรรมที่ดูเป็น Still Life มันเป็นโลหะก็จริงแต่มันดูอ่อนโยน มีความพลิ้วของมัน เป็นงานดีไซน์ของ Alexander Lamont และเป็นผลงานการทำบรอนซ์โดยใช้เทคนิคโบราณของไทยกับญี่ปุ่น
:: Books
ปกติผมอ่านหนังสือแนวนี้ล่ะครับ สองเล่มนี้เป็นเล่มโปรด เล่มแรก Inspiration มันเป็นการให้มุมมองของหลายๆ บริษัทว่าเขาทำอย่างไรเวลาเขามีไอเดีย และบอกเล่าประสบการณ์ที่เขาเคยผ่านมาแล้ว เป็น Case Studies ของบริษัทระดับท็อป ผมอ่านเพื่อที่จะได้เห็นว่าสิ่งที่เราเผชิญอยู่นั้นไม่ใช่แค่เราคนเดียว คนที่เผชิญไปแล้วเขาแก้ไขอย่างไร อีกเล่ม “The Speed of Trust” เป็นเล่มที่คุณแม่มอบให้เมื่อนานมาแล้ว มีลายเซ็นที่หลังปกว่า “ขอให้อ่านและนำไปใช้ในชีวิต ทั้งในงานและครอบครัว”
:: Music
ผมชอบฟังเพลง และชอบเก็บแผ่นซีดี ทุกวันนี้เวลาเจอซีดีที่ชอบก็จะซื้อเก็บ เปิดฟังด้วย เพลงที่ผมชอบและเก็บจริงๆ จะเป็นแนว Deep House ที่ชอบเปิดกันตามบาร์น่ะครับ มันฟังได้เรื่อยๆ :: Text by FLASH