xs
xsm
sm
md
lg

ความสัมพันธ์ที่แน่นเหนียวไม่เสื่อมคลายของ ม่ายสาวแกร่ง “สุชัญญา ธนาลงกรณ์” กับลูกคนสวย “มิ้นท์-อรรถวดี จิรมณีกุล”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


>>แม้จะเลิกรากับสามีและครองสถานะม่ายมาได้หลายปีแล้ว แต่บทบาทในฐานะแม่ของ “พร-สุชัญญา ธนาลงกรณ์” เซเลบริตี้สาวสวยรุ่นใหญ่ยังคงอยู่อย่างไม่เสื่อมคลายไปไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผูกพันกับลูกสาวคนเก่ง “มิ้นท์-อรรถวดี จิรมณีกุล” ที่ระยะเวลาหรือระยะทางก็ไม่มีวันลดทอนความรักของแม่-ลูกคู่นี้ให้ลดน้อยลงไปได้

คุณสุชัญญาเริ่มเกริ่นถึงความสัมพันธ์กับลูกสาวคนสวยให้เราฟังว่า “แม้เราสองคนจะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน แต่ก็ยังใกล้ชิดกันเสมอค่ะ โทรศัพท์คุยอยู่บ่อยๆ ซึ่งเราจะมีวันอาทิตย์เป็นวันครอบครัวที่ทุกคนในบ้าน ทั้งคุณสุทิน (สุทิน จิรมณีกุล-อดีตสามี) และลูกๆ รวมถึงลูกสะใภ้จะมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน โดยมากจะพากันมากินข้าวกันที่บ้านแม่ค่ะ เพราะแม่ไม่ชอบออกไปข้างนอก ไม่ชอบฝ่าไปเจอคนเยอะๆ ที่สำคัญแม่ครัวที่บ้านทำกับข้าวอร่อยมาก เขารู้รสปากเราว่าชอบแบบไหน ดังนั้น ก็จะเป็นที่รู้กันว่าวันอาทิตย์ทุกคนจะพยายามทำตัวให้ว่างมาเจอกัน แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากนะคะ ถ้าลูกๆ เขาติดธุระสำคัญ เราก็เข้าใจ เพราะอย่างไรเราก็มีไลน์กลุ่มของครอบครัวไว้คอยอัปเดตติดต่อสื่อสารกันตลอดอยู่แล้ว”

คุณมิ้นท์ช่วยเสริมว่า “ตัวคุณแม่เอง บางทีก็ไม่ค่อยว่างค่ะ เดินทางบ่อย ไปนั่นมานี่กับเพื่อนตลอด เขาชอบเดินทาง ไปดูมรดกโลก ชมธรรมชาติสวยๆ แล้วก็จะคอยอัปเดตวิว สถานที่ต่างๆ มาให้ดูในไลน์กลุ่ม เป็นความสุขของเขา หลังจากที่ทำงานหนักมานาน ตอนนี้ก็ให้ท่านได้พักผ่อน ได้ทำสิ่งที่อยากทำ ได้ไปเปลี่ยนบรรยากาศ เราก็ดีใจที่เห็นเขาสดชื่นมีความสุขขึ้น ถ้าช่วงไหนมิ้นท์ว่างก็จะไปจอยทริปด้วยเสมอ”

“เวลาไปทริปเราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะมาก เวลาแม่มีแพลนเดินทางไปไหนก็จะพยายามชวนมิ้นท์เขาไปด้วย เพราะเขาทำงานหนัก เราก็อยากให้เขาไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง ถ้าช่วงไหนตรงกับวันหยุด หรือเขาสามารถลาพักร้อนได้ ก็จะไปด้วยกันแม่-ลูก อย่างปีที่แล้วไปอินเดียด้วยกันมา เป็นทริปบุญ ไปสังเวชนียสถาน เราเป็นพุทธศาสนิกชน ก็เลยอยากให้เขาได้ไปเรียนรู้ ไปนั่งสมาธิ สวดมนต์ ซึ่งแม่คิดว่ามันจะเป็นผลดีกับเขา ให้เขาได้นำหลักศาสนาไปใช้ ช่วยให้มีสติ ได้ประโยชน์กับชีวิตเขาเอง”

โดยแม้ว่าจะมีลูกๆ ถึง 3 คน แต่สาวมิ้นท์คือคนที่สนิทกับคุณแม่ที่สุด โดยคุณสุชัญญาเอ่ยถึงเรื่องนี้ว่า “คงเพราะเขาเป็นลูกสาวคนเดียว ก็เลยคุยเจ๊าะแจ๊ะกันได้มากกว่า กับลูกชาย (เคน-ณัฐภัทร จิรมณีกุล และคิด-คงภัทร จิรมณีกุล) จะคุยอีกแบบ ออกเป็นการเป็นงาน ไม่ค่อยพูดคุยเล่นกันเท่าไร แต่กับมิ้นท์นี่คุยกันได้ทุกเรื่อง มีอะไรเขาก็จะโทรศัพท์มาเล่าให้ฟัง อย่างบางทีเขาเหนื่อยเรื่องงาน หรือมีปัญหาอะไร ก็จะมาระบายให้ฟัง อะไรที่ช่วยแนะ ช่วยสอนเขาได้ก็ให้คำปรึกษาไป”

“แต่ก่อนมิ้นท์ก็ไม่เคยรู้สึกนะคะ ว่าเวลาเขาอยู่กับเราก็จะเป็นสไตล์หนึ่ง ตอนอยู่กับน้องชายก็อีกสไตล์หนึ่ง มันต่างกัน จนกระทั่งมีวันหนึ่งมิ้นท์โทรศัพท์คุยกับแม่ ตอนนั้นอยู่ในห้องตัวเองก็เลยเปิดลำโพงคุยกัน แล้วระหว่างนั้นน้องชายเดินเข้ามาพอดี ก็เลยคุยกับน้องไปด้วย แล้วก็มีถามความคิดเห็นกันถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันก็เป็นโมเมนต์ที่น่ารักดี แล้วพอวางสายน้องก็มากระซิบบอกว่าไม่เคยได้ยินคุณแม่พูดแบบนี้เลยนะ แบบที่คุยเรื่องสัพเพเหระ คือเวลาแม่คุยกับน้องจะแบบมีโฟกัสว่าคุยประเด็นหรือธุระอะไรจบไปเรื่องๆ ไม่ได้เมาท์มอยกันแบบคุยกับมิ้นท์ เขาเลยเซอร์ไพรส์ที่ได้เห็นมุมนี้ของแม่ อาจจะเป็นเพราะเราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน เลยพูดคุยอะไรได้เข้าใจกันมากกว่า”

แต่ถึงจะเป็นแม่-ลูกคู่สนิท ทั้งสองคนก็มีความต่างกันอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การแต่งตัว ไปจนถึงบุคลิกลักษณะนิสัย

“ที่เห็นชัดสุดเลย คือ การแต่งกาย คุณแม่จะชอบใส่สีสดๆ ชมพู เขียว เหลือง แดง แนวสดใส ของมิ้นท์จะออกเรียบๆ ด้วยการทำงานก็เลยจะออกแนวบิสซิเนสหน่อย แล้วก็เน้นสีเอิร์ธโทน ขาว ดำ เทา หรืออย่างเรื่องท่องเที่ยวเหมือนกัน แม่เขาจะแบบใช้เวลาคุ้มมาก อย่างช่วงสงกรานต์ ไปแบบ 5 ประเทศภายใน 10 วัน ตะลุยเที่ยวเช้าจดเย็น เดินทางย้ายเมืองตลอด แต่ถ้ามิ้นท์เที่ยวจะชอบแบบสโลว์หน่อย ใช้เวลาอยู่แต่ละเมืองนาน ไปเดินเล่น ชิล นั่งจิบกาแฟ เข้าพิพิธภัณฑ์ ไปดูศิลปะ ดูคอนเสิร์ต ซึมซับกับวัฒนธรรรมท้องถิ่น จะเอนจอยกับแบบนั้นมากกว่า”

แม้จะชอบกันคนละแบบ แต่สาวมิ้นท์กลับมองว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ที่จะช่วยบาลานซ์ให้ชีวิตลงตัว “การคิดไม่เหมือนกัน ทำให้เราเห็นอะไรกว้างขึ้น มันเปิดให้มิ้นท์ได้เห็นอีกมุมหนึ่ง เพราะถ้ามิ้นท์จัดทริปไปเองคงไม่ได้ไปเห็นอะไรเยอะขนาดนั้น อาจเที่ยวได้แค่ครึ่งเดียวหรือน้อยกว่านั้นแน่ๆ แต่อยู่กับคุณแม่คือเที่ยวได้ครบในเวลาอันสั้น คือท่านเป็นคนทำอะไรเร็ว ทุกนาทีมีค่า...

ไม่ใช่เพียงเรื่องเที่ยว แต่เรื่องการทำงานก็เช่นกัน คุณแม่เป็นเวิร์กกิ้งวูแมนคนเก่ง ที่ทำอะไรเร็วมาก สไตล์การทำงานก็คล้ายผู้ชาย ใจร้อน คิดเร็วทำเร็ว แต่เร็วแบบมีประสิทธิภาพนะคะ คือตัดสินใจได้เร็วและไม่ค่อยผิดพลาด จะไม่ใช่คนคิดจุกจิก มานั่งดูอะไรเล็กๆ น้อยๆ และมีวินัยในการทำงานสูงมาก ถ้าลงมือทำอะไรแล้ว ท่านก็ทุ่มเทแบบสุดๆ ทำให้งานมันรุดหน้าไปสู่ความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว

ซึ่งมิ้นท์ชื่นชมในจุดนี้มาก ยกให้เขาเป็น Role Model ของการทำงาน และก็พยายามจะนำเอามาปรับใช้กับตัวเอง เพราะมิ้นท์จะเป็นคนละเอียดมาก ซึ่งบางทีก็เกินความจำเป็น และทำให้งานมันล่าช้า ก็ต้องพยายามปรับดูว่าอันไหนต้องการความละเอียด อันนั้นต้องการความเร็ว คือถ้าบางงานรอให้มันเป๊ะ แต่ต้องเสียโอกาสไปมันก็ไม่เวิร์ก ต้องรู้จักเลือกตัดสินใจให้เหมาะสม”

ขณะที่ลูกสาวมองคุณแม่ด้วยความชื่นชม อีกฝั่งหนึ่งก็มีความภูมิใจในตัวลูกสาวไม่น้อยไปกว่ากัน “เขาเป็นลูกที่น่ารัก ไม่ทำอะไรให้เราหนักใจ ดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี มีแต่ความภาคภูมิใจ อย่างก่อนหน้านี้ที่เขาเป็นนักร้อง เราก็ประทับใจเพราะเขาใช้ความสามารถของตัวเองพิสูจน์ผลงานไม่ใช่เส้นสาย แม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้เดินทางนั้นต่อ หันมาสู่โลกของธุรกิจ การบริหาร ก็ทำผลงานได้ดี ดีใจทุกครั้งที่เห็นเขาทำงานประสบความสำเร็จ และก็ยิ้มกว้างทุกครั้งที่เพื่อนๆ มาชมให้ฟังว่าลูกสาวเก่ง

เพราะด้วยอายุเท่านี้ แต่งานของเขาความรับผิดชอบไม่น้อยเลยนะคะ ได้เห็นเขามุ่งมั่นกับงานและทำสำเร็จ เราก็มองอย่างภูมิใจ และแม่จะสอนเขาตลอดว่า งานจะเยอะ งานจะหนัก อย่าไปกลัว ลุยเลย ทุกอย่างที่เราทำมันคือประสบการณ์ และยิ่งการไปเป็นลูกจ้างเขา อย่าคิดว่าทำๆ ไป มันไม่ใช่ของเรา อันนั้นไม่ใช่ทัศนคติที่ถูกต้อง งานอันไหนมาถึงมือเราต้องมองว่าเขาเชื่อมือเราถึงไว้วางใจให้เราทำ เรายิ่งต้องทำให้ดี ถ้าเรามัวแต่เลือกงาน ทำแต่งานง่ายๆ เราก็ไม่ได้ประสบการณ์ไม่ได้ความรู้ ไม่มีความสามารถอะไรเพิ่มเติม เพราะโลกของการทำงานมันให้อะไรเรามากมายยิ่งกว่าเรียนในห้องไม่รู้กี่ร้อยเท่า”

แม้เรื่องงาน เรื่องความรับผิดชอบไม่มีอะไรต้องหนักใจ แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณแม่ยังสาวคนนี้ ยังแอบห่วงลูกสาวคนสวยอยู่ลึกๆ “เรื่องคู่ครองค่ะ ซึ่งเราก็บอกเขาว่า เรื่องนี้มันไม่จำเป็นนะ เราเป็นผู้หญิงเก่งมีทุกอย่างครบหมด แต่ถ้าจะมาคิดว่าการไม่มีคู่ครองเหมือนขาดอะไรไปมันไม่ใช่ แต่อาจจะเพราะด้วยวัยเขา บางทีเห็นเพื่อนๆ แต่งงานมีครอบครัว เขาอยู่คนเดียวมันมีอารมณ์เหงา มันก็ทำให้เขาคิดแบบนั้น

แม่ก็พยายามให้เขามองเห็นอีกแง่ ว่ามันไม่จำเป็นหรอก อยู่คนเดียวสบายจะตาย คือเป็นแม่ก็ห่วงอ่ะ แม่มีประสบการณ์มา คือถ้าจะมีก็อยากให้เขาได้เจอคนที่ทำให้มีความสุขจริงๆ และถึงแม้เราจะปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของเขาเองก็จริง ความรับผิดชอบเขา ชีวิตเขาให้เขาเลือกเอง แต่มันก็อดกังวลไม่ได้ เพราะสุดท้ายมันก็กระเทือนถึงเราแหละ ถ้าลูกเจ็บ ลูกเศร้า เราก็เจ็บด้วย”

ฝั่งสาวมิ้นท์พอได้ยินก็อมยิ้มและกล่าวว่า “ไม่เคยทราบนะเนี่ยว่าคุณแม่ห่วงเรื่องนี้ (หัวเราะ) เรื่องชีวิตคู่มิ้นท์ไม่ซีเรียสค่ะ ถ้าจะมีมันก็มาเองแหละ อยู่กับจังหวะและเวลา มันไม่ใช่อะไรที่คนเราจะไปลิขิตได้ เรื่องงานหรือเรื่องอื่นๆ เรายังสามารถวางเป้าหมายได้ แต่เรื่องนี้ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติและโชคชะตาค่ะ แต่ไม่ว่ามิ้นท์จะคบใคร คุณแม่และน้องๆ จะรู้เสมอ ไม่ใช่ว่าตั้งใจพามาดูตัวหรืออะไรนะคะ แต่เพราะครอบครัวเราสนิทกันมาก เพื่อนๆ มิ้นท์มีใครบ้าง ไม่ว่าจะผู้หญิงผู้ชาย ที่บ้านก็รู้จักหมดอยู่แล้ว”

และมิ้นท์ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า “ถึงแม้ว่ามิ้นท์กับแม่จะไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากเหมือนแต่ก่อน แต่แม่ก็ยังคงเป็นคนที่รับรู้เรื่องราวของมิ้นท์เยอะที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องส่วนตัว เรื่องเพื่อน รวมไปถึงเรื่องความรัก เพราะท่านเป็นทั้งแม่ ทั้งพี่ ทั้งเพื่อนสนิท เป็นทุกอย่างของมิ้นท์ก็ว่าได้ค่ะ”

12 สิงหาคม วันสำคัญของแม่

“เวลาวันสำคัญอย่างวันแม่ มิ้นท์กับน้องเคยพยายามจะเซอร์ไพรส์เขานะ แต่ไม่เคยสำเร็จ คุณแม่เป็นคนที่ไวกับเรื่องพวกนี้มาก โดนจับได้ตลอด ส่วนใหญ่ก็จะทำงานแฮนด์เมดให้ อย่างเขียนการ์ด แต่งกลอน บางปีก็เคยแต่งเพลงให้ด้วย”

คุณแม่ฟังแล้วยิ้มกว้างพร้อมกล่าวเสริมว่า “เขาจะทำอะไรน่ารักๆ แบบนี้ให้ตลอดไม่เฉพาะแต่ในวันแม่ แต่วันแม่อาจจะพิเศษหน่อย อย่างมากราบเรา ซึ่งเห็นเด็กนอกกันทุกคนแบบนี้ วันแม่เขาจะมีพวงมาลัยมากราบเท้านะคะ ซึ่งแม่ชอบแบบนี้มากกว่าจะมาซื้อของขวัญแพงๆ ให้อีก เพราะมันมีคุณค่าทางจิตใจ ของทุกชิ้น การ์ดทุกใบที่เขาให้ เราเก็บไว้หมด บางทีว่างๆ ก็หยิบมาอ่านแล้วก็ซึ้งอยู่คนเดียวบ้าง” :: Text by FLASH
กำลังโหลดความคิดเห็น