xs
xsm
sm
md
lg

Modern Mom “วรรณศิริ คงมั่น” ตั้งใจเต็มร้อยสวมบทคุณแม่มือใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>โด่งดังในฐานะดีไซเนอร์และเจ้าของแบรนด์ Boyy Bag กระเป๋าสุดเก๋ที่มีลูกค้าเป็นเหล่าแฟชั่นนิสต้าและคนดังระดับเอ-ลิสต์ มาวันนี้ “บอย-วรรณศิริ คงมั่น” ดีไซเนอร์สุดเก๋กำลังก้าวสู่อีกหนึ่งแชปเตอร์ของชีวิตกับบทบาทการเป็น “คุณแม่มือใหม่” ซึ่งเธอบอกว่า เป็นอีกหนึ่งสเต็ปของชีวิตที่เต็มไปด้วยความสนุก ประทับใจ อาจมีดราม่าเคล้าน้ำตาในบางโมเมนต์ แต่เป็นฟีลลิ่งที่คนเป็นแม่เท่านั้นถึงจะเข้าใจ โดยเฉพาะความหมายของคำว่า “เสียสละ” เพื่อลูกนั้นช่างยิ่งใหญ่และมีพลังอย่างไม่น่าเชื่อ

บอย เริ่มต้นเล่าอย่างออกรสถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนวัย 7 สัปดาห์ว่า ตั้งชื่อให้ตั้งแต่ยังไม่ได้ตั้งท้องด้วยซ้ำ โดยเธอและสามี (เจส-เจสซี่ ดอร์ซี่) ตั้งใจตั้งชื่อที่เป็นยูนิเซ็กซ์ไว้ ด้วยความที่สามีชื่อขึ้นต้นด้วยตัวเจ (J) ดังนั้นจึงอยากให้ชื่อลูกมีตัวเจอยู่ด้วย คิดไปคิดมามาลงตัวที่ “Jade” ซึ่งแปลว่า “หยก” จนพอรู้ว่าได้ลูกชายแน่ๆ เลยตั้งชื่อภาษาไทยให้เขาว่า “เจษฎ์” ซึ่งพ้องเสียงกับภาษาอังกฤษพอดี

เจอดีไซเนอร์คนเก่งเปิดตัวมาว่าเตรียมชื่อลูกไว้ตั้งแต่ยังไม่ตั้งท้องแบบนี้ ความสงสัยที่ว่า เธอจะเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนหัวสมัยใหม่ที่ไม่อยากมีลูกหรือเปล่าเลยสลายไปในบัดดล แถมยังเซอร์ไพรส์มากขึ้นเมื่อเธอบอกว่า คิดกับสามีมาตลอดว่า อยากมีลูก เพียงแต่ที่ผ่านมาทำงานเพลินจนมีลูกช้ากว่าที่ตั้งใจไว้ 1 ปี และทั้งคู่ก็ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะมีลูกแค่คนเดียวพอ แต่พร้อมจะมีไม่จำกัด บอยว่าส่วนหนึ่งอาจเพราะทั้งคู่เกิดมาในครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคน เลยคุ้นชินกับการมีพี่น้องหลายคน ทำให้อบอุ่น ไม่เหงา

ถามถึงช่วงเวลา 9 เดือนที่เป็นโมเมนต์ที่ยากจะลืมเลือนของคนเป็นแม่ทุกคน บอยบอกว่า รู้ตัวว่ากำลังตั้งท้องตอนที่เดินทางไปทำงานที่อิตาลี-ฝรั่งเศส โดยหลังจากที่เธอพบว่าประจำเดือนมาคลาดเคลื่อนก็พยายามหาโอกาสไปซื้อชุดตรวจการตั้งครรภ์มาตรวจ ปรากฏผลออกมาว่าท้องจริงๆ

“เชื่อไหมจากก่อนหน้านั้นไม่มีอาการแพ้เลยนะ พอรู้ว่าท้อง แพ้เลย แล้วบอยแพ้ท้องหนักมาก กินอะไรไม่ได้เลย นอนซม ตอนนั้นเป็นช่วงบินจากอิตาลีมาทำงานในช่วงปารีส แฟชั่นวีกพอดี บอยก็ช่วยเท่าที่ทำได้ เสร็จจากปารีสเราก็บินกลับมาอิตาลีอีก คราวนี้ถึงได้มีโอกาสไปพบคุณหมอจริงจัง ได้เห็นหัวใจของลูกครั้งแรกที่อิตาลี ซึ่งสำหรับบอย เรามีเรื่องราวหลายอย่างในชีวิตเกิดขึ้นที่นี่ งานแต่งงานเราก็จัดที่นี่ แต่ไม่เคยคิดว่า เราจะได้พบกับลูกเราครั้งแรกที่อิตาลีเช่นกัน บอยว่านี่คงเป็นโชคชะตา”

หลังจากกลับมาเมืองไทย บอยยังสวมบทคุณแม่สุดแอกทีฟ ยังเดินทางไปทำงานต่างประเทศ จนกระทั่งช่วงใกล้คลอดถึงเพลาๆ ลง กระทั่งเมื่อถึงคืนก่อนคลอด บอยบอกว่าสัญชาตญาณความเป็นแม่บอกให้เธอรู้ว่าวันที่เธอรอคอยกำลังจะมาถึงแล้ว

“คืนนั้นประมาณ 4 ทุ่ม บอยรู้สึกว่าน้ำเดิน นาทีนั้นบอยร้องไห้โฮเลยนะคือ บอกไม่ถูก เราทั้งดีใจ ตกใจ ตื่นเต้นไปหมด รู้สึกว่าเรากำลังจะได้เจอลูกแล้ว บอยร้องไห้อยู่พักใหญ่ก่อนจะตั้งสติ ค่อยๆ เก็บเสื้อผ้าที่จะไปโรงพยาบาล โทร.หาคุณหมอ ไลน์บอกเพื่อนๆ อาบน้ำ-สระผม กว่าจะไปโรงพยาบาลก็ประมาณตี 4”

คุณแม่สุดสตรองบอกว่า ช่วงเวลาในห้องคลอดเธอรู้ตัวตลอด และยังเป็นคนถ่ายวิดีโอตอนที่สามีตัดสายรกด้วย วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้าลูก แน่นอนว่าเป็นความดีใจอย่างสุขล้น แต่อาจจะผิดจากภาพที่วาดไว้เล็กน้อย เพราะทุกอย่างในห้องคลอดเกิดขึ้นเร็วมาก เธอได้เห็นหน้าลูกแวบเดียว คุณหมอก็พาลูกชายไปเข้าห้องสังเกตการณ์เพื่อรอดูอาการ เพราะเกิดภาวะสำลักน้ำคร่ำ

“ความรู้สึกบอยตอนนั้นคืออยากอยู่กับลูกตั้งแต่วินาทีแรก แต่บอยก็เข้าใจเพื่อความปลอดภัยของเด็ก คุณหมอก็ต้องทำหน้าที่ ซึ่งบอยมองว่า การที่เราพลาดโอกาสที่จะได้กอดเขา และต้องจากกับเขา 1วันนั้น มันทำให้ความรู้สึกที่อยากจะปกป้องลูกเข้มข้นขึ้น ทำให้เรารู้สึกว่าจากนี้เราจะไม่ยอมให้อะไรมาพรากเขาไปอีกแล้ว”

ด้วยเหตุนี้ คุณแม่มือใหม่ จึงตั้งมั่นว่าจะแท็กทีมกับสามีเพื่อเลี้ยงลูกด้วยตัวเองโดยไม่อาศัยพี่เลี้ยง เธอจึงใช้เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลถึง 7 วันเพื่อเรียนรู้การดูแลทารกทุกอย่าง ถามว่าเหนื่อยมั้ยที่ต้องเป็นทั้งเวิร์กกิ้งมัมและคุณแม่ฟูลไทมส์ บอยยอมรับว่าเหนื่อย แต่ไม่ได้เกินกำลัง

“ทุกวันนี้บอยกับเจสจะผลัดกันดูลูก บอยจะเป็นกะกลางคืน เจสจะเป็นกะเช้า เริ่มตั้งแต่ตี 4 ดูลูกถึง 09.30 น.แล้วไปทำงาน ส่วนบอยจะดูแลต่อถึง 13.30 น. แล้วก็พาลูกไปทำงานด้วย เย็นเลิกงานกลับมาบ้านพร้อมกัน ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไปมั้ย แน่นอน เพราะช่วงที่ลูกยังเล็ก ภูมิต้านทานเขายังน้อย อาจจะไปไหนมาไหนกับพ่อแม่ทุกที่ไม่ได้ เราก็ต้องปรับตัว แต่หลังจากนี้เมื่อเขาไปไหนมาไหนกับเราได้ก็ไม่น่ามีปัญหา”

นอกจากนี้ ดีไซเนอร์สาวเก่งยังบอกด้วยว่า บทเรียนจากการเป็นแม่ที่เธอได้ประจักษ์คือ ความเสียสละ ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นสิ่งซึ่งคนเป็นแม่เต็มใจทำเพื่อลูก

“ด้วยความที่บอยเป็นคนชอบกิน ช่วงท้องบางอย่างเราก็กินไม่ได้ พอคลอดแล้วก็อยากตามใจปาก บ้าง แต่พอเราตามใจปาก แล้วต้องให้นมลูก ปรากฏเขาท้องเสีย เราเห็นแล้วก็สงสารลูก และบอกตัวเองเลยว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก คือ เรายอมเสียสละความสุขของเราได้ หรือ อย่างเวลาลูกร้องแค่แอะด้วย ถึงจะง่วงแค่ไหน สมองก็จะสั่งการให้เราลุกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ผิดจากแต่ก่อนที่บอยเป็นคนนอนเยอะ นอนวันละ 10 ชั่วโมง ใครมาปลุกโมโห แต่ตอนนี้ไม่ใช่เลย”

สำหรับอนาคตของลูก บอยไม่ได้คาดหวังว่าเขาต้องเป็นอะไร แค่อยากปลูกฝังความเป็นไทยในตัวเขา ถึงเขาจะเป็นลูกครึ่ง แต่บอยอยากให้เขาได้เรียนรู้มารยาท วัฒนธรรมไทย รวมทั้งอ่าน-เขียนภาษาไทยได้

“บอยอยากให้เขาเป็นเด็กที่อ่อนโยน จิตใจดี ปรับตัวง่าย เพราะพ่อแม่เขาต้องเดินทางบ่อย อย่างก.ย.นี้ก็ต้องไปโชว์คอลเลกชันที่นิวยอร์ก ซึ่งบอยตั้งใจไว้แล้วว่าจะพาเขาไปด้วยแน่นอน เพราะเราไม่เจอเขาครึ่งวันยังคิดถึง จะให้ไม่เจอเป็นเดือนๆ คงไม่มีทาง ไม่ว่าไปไหนเราก็ต้องเอาเขาไปด้วย” ดีไซเนอร์คนดังกล่าวทิ้งท้าย :: Text by FLASH
“สุดแผ่นดิน” มิชชั่นคอมพลีท “โป้ง-โมเดิร์นด็อก” ปันเพื่อน้องปั่น
“สุดแผ่นดิน” มิชชั่นคอมพลีท “โป้ง-โมเดิร์นด็อก” ปันเพื่อน้องปั่น
เสร็จสิ้นภารกิจกันไปหมาดๆ สำหรับโครงการ Life Cycling “ปันเพื่อน้องปั่น” นำโดยสุดยอดนักปั่นน่องเหล็ก “โป้ง-ปวิณ สุวรรณชีพ” หรือหนุ่มมือกลองแห่งวงดนตรีที่ครองใจผู้ฟังอย่างยาวนาน “โป้ง-โมเดิร์นด็อก” ออกทริปปั่นตามเส้นทางเชียงราย-สตูล รวมระยะทางกว่า 2,354 กิโลเมตร เพื่อนำเงินที่ได้รับไปซื้อจักรยานให้น้องๆ ผู้ด้อยโอกาสใช้สำหรับเดินทางไปโรงเรียน FEEL GOOD พร้อมเปิดบทสนทนาพูดคุยกับสิงห์นักปั่นผู้ซึ่งเป็นคนริเริ่มสำหรับภารกิจปั่นสุดแผ่นดิน ถึงเรื่องราวไลฟ์สไตล์การปั่นจักรยานของเขา รวมถึงแรงบันดาลใจในการทำดีปันน้ำใจเพื่อสังคมในครั้งนี้ . .
กำลังโหลดความคิดเห็น