ความสุขของมนุษย์ทุกคนในโลกใบนี้ ไม่ได้อยู่ที่การมีชื่อเสียง ร่ำรวยเงินทอง หรืออยู่ในบ้านคฤหาสน์หรูหลังใหญ่โต หากแต่ปรารถนาให้พบกับชีวิตอันสงบสุขในบั้นปลายชีวิต เห็นความเติบโตเจริญก้าวหน้าของลูกหลานทุกคน นั่นจึงคือความสุขที่แท้จริงในชีวิตของมนุษย์ทุกคน
ดังเช่นชีวิตของท่านภี- ม.จ.ภีศเดช รัชนี พระโอรสองค์สุดท้องในพระราชวรวงศ์เธอ ซึ่งกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (องค์ต้นราชสกุลรัชนี) และหม่อมเจ้าพิมลพรรณ (วรวรรณ)รัชนี เป็นพระอนุชาร่วมมารดากับหม่อมเจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต ประสูติเมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2464
ซึ่งเมื่อวันเกิดที่ผ่านมา ลูกหลานในราชสกุลรัชนีทุกคนยังได้พร้อมใจกันจัดงานฉลองวันประสูติครบ 95 ชันษาของท่าน
ถึงแม้วันนี้ท่านภีจะมีชันษาเกือบร้อยปี แต่ท่านยังคงมีสุขภาพแข็งแรงเดินได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนคนวัยเพิ่งจะ 60 แถมสมองยังดีสามารุจดจำเรื่อราวต่าง ๆได้เป็นอย่างดี โดยยังทรงงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะประธานมูลนิธิโครงการหลวงฯ
คุณหญิงนาว-ม.ร.ว.ดัจฉราพิมล รัชนี ธิดาคนโต ของท่านภี ในฐานะลูกสาวที่สนิทกับท่านพ่อมากที่สุดได้เปิดบ้านที่วังประมวญบนถนนสาธร อันเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น เพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือนทุกคน พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวของท่านภีตั้งแต่วัยหนุ่ม ตลอดจนเผยเคล็ดลับการดูแลรักษาสุขภาพของท่านพ่อที่ยังแข็งแรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูกหลานทุกคน
คุณหญิงนาว เริ่มถ่ายทอดเรื่องราวของท่านพ่อให้ฟังด้วยน้ำเสียงแจ่มชัดว่า หม่อมเจ้าภีศเดชทรงจบการศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ จากนั้นไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะกลับมาเมืองไทย และเข้าทำงานที่บริษัทเชลล์
“ท่านพ่อเคยนิพนธ์เรื่องราวของท่านไว้ในหนังสือเรื่อง ชีวิตชั้นๆ ว่า เมื่อครั้งที่ท่านยังหนุ่มอยู่นั้นได้ไปศึกษาต่อประเทศอังกฤษ ซึ่งตอนนั้นเป็นยุคเสรีไทยพอดี ท่านจึงทรงสมัครเป็นทหารสายลับ ของกองทัพอังกฤษ ระหว่างปี พ.ศ.2485-2489 ขณะนั้นเองระหว่างที่อยู่ประเทศอังกฤษ ท่านพ่อถึงแม้จะมียศเป็นถึงหม่อมเจ้าแต่ท่านก็ทรงงานหนักใช้ชีวิตเป็นกรรมกรแบกหามรับจ้างทำงานสารพัดเพื่อเลี้ยงชีพของตัวเอง ท่านเคยเล่าว่า มีอยู่วันหนึ่งไปรับจ้างขุดมันต้องนั่งหลังขดหลังแข็งทั้งวัน พอตกกลางคืนก็ปวดหลังนอนตัวงอเหมือนกุ้งเลย ท่านจึงทรงเห็นสัจธรรมของชีวิตว่า ถึงแม้ท่านจะเกิดในชั้นสูงเป็นหม่อมเจ้า หากแต่ชีวิตก็มีความผกผันตลอดเวลา ไม่ต่างจากคนทั่วไป ที่มีทั้งสุขและทุกข์เข้ามาในชีวิต”
ทุกวันนี้นอกจากการทำหน้าที่สนองงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะประธานมูลนิธิโครงการหลวงฯ ที่ท่านภีมีหน้าที่สานพระราชปณิธานของในหลวง ดูแลทุกข์สุขของพี่น้องชาวไทยภูเขาบนพื้นที่รับผิดชอบของมูลนิธิฯ
คุณหญิงนาว เล่าถึงกิจวัตรประจำวันของท่านภีที่ทรงปฏิบัติอยู่ในทุกวันนี้ ด้วยน้ำเสียงสดใสว่า ทุกวันนี้ท่านภี ยังคงทรงทำงานที่มูลนิธิโครงการหลวงฯ อยู่ทุกวัน โดยทุกจันทร์ถึงวันพฤหัส ท่านจะเสด็จไปตรวจเยี่ยมงานบนพื้นที่รับผิดชอบที่ จ.เชียงใหม่ และเสด็จกลับกรุงเทพฯวันพฤหัสตอนเย็น และอยู่วังประมวญจนถึงเย็นวันอาทิตย์ จากนั้นก็จะเสด็จกลับไปทรงงานที่เชียงใหม่ต่อ ถือภารกิจสำคัญที่ท่านยังยึดถือปฏิบัติอยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้
“ตลอดระยะเวลาที่ท่านพ่อทรงงานที่โครงการหลวง เราจะเห็นว่าท่านทำงานหนักมากแทบไม่มีเวลาได้อยู่ที่วังเลย ในอดีตที่เวลาที่ท่านพ่อตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสด็จฯไปทรงเยี่ยมเยือนพสกนิกรชาวไทยภูเขามาโดยตลอด และท่านก็จะจดบันทึกวันเวลาสถานที่ต่างๆ ที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ พร้อมบันทึกทุกรับสั่งและพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาเรื่องการปลูกฝิ่นของพี่น้องชาวไทยภูเขาตลอด และทุกวันนี้ถึงแม้ท่านพ่อจะมีพระชันษามากแล้ว แต่ด้วยร่างกายที่ยังคงแข็งแรงอยู่ท่านจึงยังเสด็จไปตรวจงานแก้ไขปัญหาให้พี่น้องชาวไทยภูเขาทรงงานต่างพระเนตรพระกรรณอยู่เสมอ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์เวลาประทับที่วังในกรุงเทพฯ ท่านพ่อก็จะให้พาไปร้านหนังสือเพื่อไปซื้อหนังสือมาอ่านทุกสัปดาห์”
ส่วนเคล็ดลับที่ทำให้ท่านภี ทรงมีสุขภาพแข็งแรง กว่าคนในวัยเดียวกันนั้น คุณหญิงนาว บอกว่า “ท่านพ่อเป็นคนตรงต่อเวลามาก โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ท่านจะเสวยอาหารตรงเวลาทุกมื้อตั้งแต่วัยหนุ่มเคยเสวยแบบไหน ปัจจุบันนี้ก็ยังทรงทำแบบเดิมตลอดมา โดยจะเริ่มจากมื้อเช้าท่านจะเสวยตอนเจ็ดโมงเช้า โปรดที่จะเสวยเพียงกาแฟร้อนใส่น้ำนมถั่วเหลือง มูสลี่ กับขนมปังปิ้ง ส่วนมื้อกลางวันโปรดเสวยอาหารจานเดียวอย่าง ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ราดหน้า เป็นต้น และเสวยอาหารว่างอย่างโกโก้เย็น กับขนมเค้ก1 ชิ้นตอนสี่โมงเย็น จากนั้นก็จะเสวยอาหารเย็นอีกตอนหนึ่งทุ่มตรงและระหว่างวันท่านไม่โปรดที่จะเสวยของจุกจิกเลย ”
อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ทำให้ท่านภี ทรงมีสุขภาพแข็งแรงคือความมีวินัยในการดูแลตัวเอง เพราะทุกครั้งก่อนและหลังรับประทานอาหารท่านมักจะวัดความดันของตัวเองอยู่เสมอ ที่สำคัญเมื่อรู้ว่าตัวเองทรงมีปัญหาสุขภาพก็จะเสวยยาที่หมอจัดให้ตรงตามเวลาทุกครั้ง
“ด้วยความที่ท่านพ่อเป็นคนมีวินัยมาก ท่านเป็นคนเสวยอาหารตรงเวลาทุกมื้ออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาท่านเสวยยาไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้านท่านจะคำนวนระยะเวลาเสวยยาก่อนและหลังอาหารด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าจะอยู่นอกบ้านก็ตาม เช่นอีกครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาเสวยอาหารเย็นถึงแม้ท่านจะนั่งอยู่ในรถแต่ถ้าใกล้ถึงเวลาเสวยยาก่อนอาหาร ท่านก็จะรีบเอายาขึ้นมาเสวยาทันที ยาหลังอาหารก็เช่นกันท่านจะคำนวณเวลาไว้อย่างแม่นยำ”
เห็นท่านภีทรงแข็งแรงขนาดนี้แต่ใครจะรู้เลยว่าท่านเคยป่วยหนักด้วยโรคกรรมพันธุ์จนเกือบถึงขั้นสูญเสียขาไป
“พ่อพี่มีโรคประจำตัวอย่างโรคเส้นหลอดเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ เสด็จปู่ (พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์) ก็สิ้นพระชนม์ด้วยโรคนี้ ท่านพ่อต้องเข้ารับการรักษาอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่หายจนหมอเกือบจะตัดขาท่านออกไป เพราะเลือดที่ขาไม่สามารถไหลเวียนได้ กระทั่งมาค้นพบวิธีการแยงเส้นเลือดที่ขาเพื่อระบายเลือดที่อุดตันอยู่ที่ขาให้ไหลเวียนได้สะดวก แต่วิธีการแยงเส้นเลือดนั้นทุกครั้งที่เข้ารับการรักษาไม่ว่าจะเป็นคนวัยไหนก็ตามก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นที่โรงพยาบาล 2-3 วัน แต่ท่านพ่อ แค่น้ำเกลือยังไม่ทันจะหมดถุงท่านก็เดินได้แล้ว หมอจึงให้กลับบ้านได้เร็วกว่าปกติ ซึ่งหมอสันนิษฐานว่าการที่ท่านหายเร็วกว่าคนปกติเพราะส่วนหนึ่งในวัยหนุ่มท่านทรงเป็นนักกีฬา เล่นกีฬามาหลากหลายชนิดทั้ง ขี่ม้า เล่นเรือใบ จึงทำให้มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง หายจากอาการป่วยได้เร็ว”
นอกจากจะทรงมีสุขภาพทางกายดีเลิศแล้ว ท่านภีในวัย 95 ชันษา ยังทรงมีความจำดีเยี่ยม แถมในอนาคตอันใกล้นี้คนไทยทุกคนจะได้ชื่นชมผลงานพระนิพนธ์เล่มที่ 2 ของท่านต่อจากผลงานเรื่อง “ชีวิตชั้นๆ” กับงานพระนิพนธ์เล่มใหม่ล่าสุดที่มีชื่อว่า “ชีวิตเสี่ยงๆ”
“ทุกวันนี้ท่านพ่อเวลาไปทรงงานที่เชียงใหม่มักจะแอบลูกหลานขับรถขึ้นดอยเองเสมอ มีหลายครั้งที่เคยห้าม แต่ท่านก็ตรัสว่า “พ่อรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เพราะการขับรถมันทำให้พ่อใช้สมองและความคิดอยู่ตลอดเวลา” ซึ่งพี่คิดว่าการที่ท่านยังทรงขับรถเองนั้นน่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารความจำของท่าน”
ณ ชั้น 1 ของตำหนักใหญ่วังประมวล อันเป็นที่ประทับยามว่างของท่านภี จะมีเสียงต๊อกแต๊ก ดังขึ้นเป็นระยะ ซึ่งเป็นเสียงปลายนิ้วมือที่กระทบกับแป้นคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์ เสียงนี้ทุกคนในวังประมวญจะคุ้นชินเป็นอย่างดี เพราะท่านภีกำลังทรงนิพนธ์เรื่องราวอัตชีวประวัติของตัวเองตั้งแต่เมื่อครั้งประสูติจนถึงชันษาในปัจจุบันนี้ ลงบนแป้นคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์อย่างชำนาญไม่แพ้หนุ่มสาวยุคใหม่เลยทีเดียว เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์ต่างๆของตัวเองให้คนไทยทั้งประเทศได้ชื่นชมกันอีกครั้ง
“พี่คิดว่าการที่ท่านพ่อทรงชอบการบันทึกและเขียนเรื่องราวต่าง ๆ อยู่เสมอนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านทรงมีความจำที่ดี เพราะสมองได้มีการคิดคำนึงถึงเหตุการณ์ต่างๆอยู่ตลอดเวลา ” คุณหญิงนาวเผยถึงเคล็ดลับการบริหารสมองของท่านภี
วัย 95 ชันษาของ ม.จ.ภีศเดช รัชนี ยังคงคุณค่าและคุณงามความดีไว้เป็น แบบอย่างให้แก่ลูกหลาน เฉกเช่นดอกลำดวน ดอกไม้สัญลักษณ์วันผู้สูงอายุแห่งชาติที่ยังบานสดใส กลีบดอกแข็งแรงและส่งกลิ่นหอมเย็นสบายใจ ยามได้อยู่ใกล้เสมอ
เรื่อง:ศศิวิมล แถวเพชร