จากพริตตี้สาวหุ่นดี ประสบความสำเร็จถึงขั้นเป็นเจ้าของบริษัทต่างชาติอันดับ 1 ใน 5 ของออสเตรเลีย เส้นทางชีวิตของเรย่า - รัชยา นิลกรรณ์ นักธุรกิจมือฉมังกลับต้องเผชิญผลของความเครียด จนเป็นโรครุมเร้าถึงขั้นเขียนพินัยกรรม น้ำหนักเพิ่มขึ้นจาก 50 ถึง 120 กิโลกรัม ร่างกายไม่รับวิตามินบำรุงใดๆ แม้กระทั่งการฉีดฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ หมอก็ยังต้องงด เธอมีใบหน้าเหมือนคนอายุ 70 ทั้งๆ ที่อายุแค่ 30 ปี แต่ตอนนี้เธอสามารถรักษาตัวเองและกลับมาสุขภาพดีอีกครั้ง ด้วยการฝึกสมาธิและโค้ชชิ่งชีวิตของตัวเอง
เรย่าเล่าถึงมรสุมชีวิตในวัยเฉียด 30 ว่า “เรย่าเคยเป็นนางแบบสังกัดอยู่โมเดลลิ่ง เคยเป็นพริตตี้พิธีกรให้กับรถหรูยี่ห้อหนึ่งในงานมอเตอร์โชว์ จากนั้นก็ไปทำธุรกิจด้านบัญชีที่ประเทศออสเตรเลีย จนบริษัทติดอันดับหนึ่งของธุรกิจคนไทยที่นั่น สื่อที่นั่นคอยตามถ่ายรูป มีคนคอยตามสัมภาษณ์ตลอด แต่พอท้องลูกคนที่ 3 เรานั่งทำงานตั้งแต่ 6 โมงเย็น ถึงตี 2 ทุกวันๆ ตอนนั้นน้ำหนักเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราก็ยังไม่กังวลเพราะคิดว่าเป็นเพราะตั้งท้อง แต่พอคลอดแล้วน้ำหนักก็ไม่ยอมลด ออกกำลังกายก็แล้ว แต่น้ำหนักขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง 120 กิโลกรัม และเกิดอาการช็อคหลายครั้ง เจ็บตามเนื้อตัว เจ็บซี่โครงด้านขวา จนเริ่มมีอาการนิ่วในถุงน้ำดี ในที่สุดหมอก็วินิจฉัยว่าเป็นอาการร่างกายดื้ออินซูลิน”
อาการดื้ออินซูลิน คือร่างกายเกิดความเครียดอย่างรุนแรงจนไม่รับสารอาหารเข้าไปใช้ ผลก็คือเมื่อร่างกายผลิตอินซูลินมากเกินไปแล้วไม่นำไปใช้จะเปลี่ยนเป็นแฟตฮอร์โมน จึงทำให้พยายามลดน้ำหนักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล
“ตอนนั้นตรวจเจอเม็ดเลือดขาวผิดปกติ เซลล์ของร่างกายเกิดการล้าและไม่ตอบสนองใดๆ เส้นประสาทส่วนอื่นเสียหมดเลย เคยล้มกระแทกแรง 5 ครั้ง จนในที่สุดกลายเป็นอาการชาครึ่งซีกเดินไม่ได้ต้องใช้รถเข็น ตรวจเจอไขมันพอกตับ เม็ดเลือดจาง ตามมาด้วยมะเร็งปอด หายใจ 24 ครั้งต่อนาที เพราะการดื้อของอินซูลินทำให้การหายใจผิดปกติ และเกิดพังผืดยึดเกาะร่างกายตามเส้นต่างๆ ตอนนั้นร้องไห้ทุกวันเพราะทรมานมาก” เรย่าเล่าถึงประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต
นอกจากโรครุมเร้าทางร่างกายแล้ว สภาพจิตใจก็บอบช้ำไม่แพ้กัน เมื่อทุกคนเริ่มหัวเราะเยาะ ผมร่วงเกือบหมด เดินได้ 15 นาทีต้องพัก จึงต้องทำงานอยู่บ้าน สั่งงานทางโทรศัพท์ เพื่อนๆ หายหมด ลูกน้องที่เคยทำงานด้วยก็เอาลูกค้าไป กดดันหลายอย่างจนต้องหย่าร้างกับสามี ตอนนั้นเจ้าตัวอยากปิดบริษัท แต่ทางครอบครัวปรามไว้ จึงเลือกที่จะกลับมารักษาที่เมืองไทย
“หลังจากเป็นโรคเรื้อรังมากว่า 2 ปี เรย่าตัดสินใจมารักษาที่เมืองไทย เริ่มต้นจากการฝังเข็มทุก 3 วัน เข็มก็ไม่ธรรมดา แต่เป็นเข็มที่มีจากวัดเส้าหลินขนาดใหญ่กว่านิ้วกลาง เอาปักไปที่คอเหมือนเราโดนต่อย และปักไปทั้งตัว ต้องคอยจัดกระดูกตลอด และคอยนวดอย่างหนักตั้งหนึ่ง 4 ชั่วโมง จนร่างกายเป็นก้อนเนื้อเป็นปุ่มทั้งตัว จนในที่สุดก็มาเจอคำตอบของการรักษาเมื่อได้ตัวยาใหม่ที่ชื่อว่า Victozza รักษาเกี่ยวกับโรคนี้ เราเลยตัดสินใจเป็นเคสทดลอง ปรากฏว่าน้ำหนักเริ่มลด แต่ลดได้แค่ 5 กิโลกรัม แต่ไม่ลดไปกว่านั้น ในส่วนของร่างกายเริ่มดีขึ้น สามารถดูดซึมอาหารได้ ระบบการกำจัดของเสียในร่างกายเริ่มดีขึ้น แต่คำตอบที่ใช่ที่สุดคือหลังจากไปตรวจการแพ้อาหารแอบแฝงแล้วพบว่า เราแพ้อาหารกว่า 30 อย่าง โดยเฉพาะแพ้พวกถั่วขาว และกระดองปู ซึ่งมีอยู่ในอาหารเสริมที่เราพยายามบำรุงร่างกายให้ฟื้น แต่กลายเป็นว่าสารพวกนี้เองที่ทำให้เราทรุด”
หลังจากร่างกายเริ่มฟื้นฟูกลับมา แต่ผิวพรรณยังเสื่อมสภาพ ผิวจะแห้งเป็นขาวๆ ขุยๆ หน้าดำ ตาดำ เป็นคนอ้วนที่มีหน้าตาเหี่ยว เหมือนคนอายุ 70 ทั้งๆ ที่อายุแค่ 30 ปี ร้อยไหมยังทำไม่ได้เพราะใบหน้าไม่มีกล้ามเนื้อให้ยึดเกาะ ทุกอย่างเหี่ยวและหย่อนคล้อย จนเมื่อฟื้นฟูร่างกายให้ดีขึ้น คุณหมอผิวหนังเลยแนะนำให้ฉีดคอลลาเจน ร้อยไหม โบท็อกซ์ทุกเดือน หยุดกินอาหารเสริม ต้องทำหน้าอกด้วย ทำการรักษาทั้งร่างกายและความสวยความงามจนน้ำหนักลดลงเหลือ 65 กิโลกรัม
เมื่อต้องเผชิญโรคร้าย เรย่าเริ่มค้นหาคำตอบของชีวิต จากที่หมกมุ่นทำแต่งาน เพราะเป็นเสาหลักของครอบครัว เธอตัดสินใจเรียนศาสตร์จิตใต้สำนึก Neuro-Linguistic Programming, Hypnotherapy, Timeline Therapy กับอาจารย์ Tad James ซึ่งเป็นศิษย์เอกของ Richard Bandler โค้ชของซุปเปอร์สตาร์ฮอลลีวู้ด อาทิ บียอนเซ่ จนได้ประกาศนียบัตรรับรองให้โค้ชผู้อื่นได้ และเปิดโรงเรียน Neuro-Mind Coaching ในออสเตรเลีย และได้รับการรับรองจาก American Board of NLP
จากนักธุรกิจสาว สู่การเป็นโค้ชชีวิต เรย่า เธอได้ค้นพบว่า การใช้ชีวิตอย่างมีสติ การทำสมาธิ และการมีอิสระทางความคิดเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความสำเร็จ เป็นเรื่องไม่ยากที่เราอยากมีชีวิตแบบบาลานซ์และมีความสุข