xs
xsm
sm
md
lg

เปิดโรงรถคลาสสิก วสุ แสงสิงแก้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


>>จากความประทับใจในวัยเด็กที่คุณพ่อเคยพานั่งรถสปอร์ตเปิดประทุนพาไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ทำให้ “จิ๊บ-วสุ แสงสิงแก้ว” เกิดความผูกพันกับรถคลาสสิกในยุค 1950 และเป็นที่มาให้เขาเริ่มเก็บสะสมรถคลาสสิก โดยวันดีคืนดีเขาก็เปิดโรงรถพารถคลาสสิกที่บางคันอายุมากกว่าเขาเสียอีกออกไปรับลมชมวิว ซึ่งวันนี้เขาได้เปิดโรงรถของเขาให้ Celeb Online ชม

ระยะนี้เรากลับมาคุ้นเคยบทบาทของ “วสุ แสงสิงแก้ว” ในฐานะนักร้องนำและนักแสดงมากขึ้น หลังจากที่เคยเฟดตัวออกไปทำงานอยู่ในกระทรวงการต่างประเทศ อย่างไรก็ดีตอนนี้เขาก็ยังมีตำแหน่งเป็น กรรมาธิการการต่างประเทศวุฒิสภา แต่ก็ยังสามารถจัดสรรเวลามาทำงานในวงการบันเทิงที่เขาคุ้นเคยอีกด้วย

“ตอนนี้ทำงานหลายอย่างพอสมควร ทั้งเป็นที่ปรึกษาให้กับกรรมาธิการการต่างประเทศของวุฒิสภา มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี 1 กระทรวง และในส่วนที่ได้เห็นกันอยู่ทางหน้ากล้องเยอะหน่อยก็คืองานในฐานะของพิธีกร นักแสดง และนักร้อง ที่กลับมาร่วมกับเพื่อนๆ พี่ๆ จากยุค 80’s ในนามของวงเดอะ พาเลซ”

ทั้งทำงานหลายอย่าง แถมยังไม่ค่อยมีเวลาได้พักผ่อน แต่ผู้ชายวัย 48 ปีคนนี้กลับดูใบหน้าอ่อนกว่าวัย เพราะเขามีวินัยในการดูแลตัวเองเป็นอย่างดี และยังเผื่อไปถึงการดูแลจิตใจของคนรอบตัวอีกด้วย

“เมื่อไหร่ที่ว่างก็จะไปออกกำลังกายทันที พยายามให้ได้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง มีแก๊งเล่นเทนนิสอยู่ที่โปโลสปอร์ตคลับ แล้วจะมีเวลา 1 วันในรอบสัปดาห์ที่จะต้องกลับบ้านมาอยู่กับคุณแม่เพราะเราเป็นลูกคนเดียว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวท่านเหงา”

นอกจากจะใช้เวลาว่างไปกับการออกกำลังกายและอยู่กับคุณแม่แล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมก็คือการขลุกอยู่กับรถคลาสสิกที่จอดเรียงรายอยู่ในโรงรถ ซึ่งเป็นรถคลาสสิกที่เป็นทั้งมรดกตกทอด และบางคันก็ต้องไปสู่ขอมาจากที่อื่น

“ไม่อยากใช้คำว่าสะสม เพราะผมมีน้อยมากเมื่อเทียบกับคนที่เขาสะสมจริงๆ แต่สำหรับเรื่องรถคลาสสิกต้องบอกว่าอาจเป็นเพราะการเลี้ยงดูของครอบครัว ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว และเป็นหลานคนโต โตขึ้นมาจากการคลุกคลีกับคุณพ่อและคุณอา ซึ่งเป็นคนรักรถด้วยกันทั้งนั้น สมัยคุณพ่อท่านหนุ่มๆ ท่านก็ชอบรถสปอร์ต และมักจะพาเรานั่งตั้งแต่ 5-6 ขวบ ซึ่งจำความได้แล้วก็เลยรู้สึกผูกพัน”

เขายังสามารถอธิบายถึงรุ่นรถคลาสสิกให้เราเข้าใจอย่างง่ายๆ ว่า รถคลาสสิกถูกแบ่งออกเป็นยุคก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหลังจากสงครามจบลงเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวทั้งฝั่งอเมริกาและยุโรป โดยส่วนใหญ่รถยุโรปจะดีไซน์เป็นรถอีโคคาร์คันเล็กประหยัดน้ำมัน วิ่งตามตรอกซอกซอยได้ ส่วนอเมริกันจะเป็นรถคันใหญ่หรือเรียกว่ารถหน้ายักษ์ ส่วนตัวที่คุณจิ๊บมีนั้นเป็นรถที่อยู่ในยุค 1950 เป็นต้นมา

“ของผมส่วนใหญ่เป็นรถยุคหลังสงครามโลก เป็นแนวรถสปอร์ตในยุคคุณพ่อ แล้วเผอิญช่วงที่ผมโตขึ้นมาเริ่มมีไอดอลที่ชอบ คือ เอลวิส เพรสลีย์ เห็นเขาเล่นภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง “บลูฮาวาย” เห็นเขาขับรถสปอร์ตคันเล็กๆ อยู่ในหนัง จึงฝังใจมาตลอด เลยรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ผมชอบและสนใจ เป็นความทรงจำที่สวยงามของผม จึงทยอยสะสมมาเรื่อยๆ

ตอนเด็กๆ ก็เริ่มเก็บรถโมเดล จนกระทั่งโตขึ้นมาเริ่มทำงานได้ หรือมีศักยภาพในการที่จะไปตามความฝันพวกนี้ก็เริ่มซื้อรถที่ผมชอบและฝังใจ หรือมีความหลัง ความทรงจำที่ดีมาตั้งแต่ผมยังเล็กๆ พอโตขึ้นมาเจอเพื่อนฝูงที่มีคอเดียวกันและมารวมตัวกันอยู่ในสมาคมรถคลาสสิกแห่งประเทศไทยก็ยิ่งรู้เรื่องราวมากขึ้น

ก่อนซื้อรถทุกคันต้องรู้ประวัติที่มาที่ไปของรถ เช่น ในต่างประเทศการจะซื้อรถคลาสสิกวินเทจสักคัน เขาจะมีประวัติตั้งแต่ ณ วันแรกที่รถพ้นสายพานจากโรงงานผลิตเลย เช่นออกมาแล้วใครเป็นเจ้าของมาแล้วบ้าง เจ้าของแต่ละคนใช้วิ่งกี่ไมล์ เครื่องเลขตัวถังต้องตรง ส่วนใหญ่รถของผมจะมาจากเพื่อนคุณพ่อ เพื่อนคุณลุง เป็นคนรู้จักหมด และสมุดทะเบียนก็ถูกต้องเป๊ะแบบไม่มีข้อสงสัยเลย รถบางคันเจ้าของยังรักมากและยังใช้อยู่ผมต้องใช้วิธีไปสู่ขอมาเลย (หัวเราะ)”

เมื่อได้รถคลาสสิกมาไว้ในครอบครองแล้ว เขาก็ยังดูแลเป็นอย่างดี รวมไปถึงนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของตัวเองบ้าง และพาไปออกทริปในช่วงว่างโอกาสเหมาะ

“การดูแลรถพวกนี้เราต้องให้เวลากับเขา สตาร์ท พาออกไปวิ่ง แต่ช่วงฤดูฝนเอาแบตเตอรี่ออกและคลุมให้ดี เพราะรถคลาสสิกอาจจะมีปัญหาเรื่องของความชื้นในเครื่องยนต์บ้าง และแต่ละคันก็ต้องมีช่างที่เชี่ยวชาญเฉพาะคอยมาดูแลบำรุงรักษา

เคยขับออกไปวันว่างๆ บ้าง แต่ถ้าจะขับไปเที่ยวไกลๆ ต้องจัดทริปไปกันหลายๆ คันเป็นคาราวาน มีรถตำรวจนำหน้า มีรถพยาบาลตามหลัง รถคลาสสิกเป็นรถขับแบบชิลๆ กินลมชมวิว ถ่ายรูปสวยๆ ส่วนใหญ่จัดปีละ 2 ครั้ง ถ้าเป็นฤดูร้อนเราก็จะไปหัวหิน ส่วนฤดูหนาวก็ไปเขาใหญ่กัน”

หากจะถามว่าหลงเสน่ห์เข้ากับรถคลาสสิกอย่างนี้อย่างไร คุณจิ๊บตอบกับ Celeb Online อย่างรวดเร็วจนเราเคลิ้มไปกับความมีเสน่ห์ของรถคลาสสิกเหล่านี้ว่า

“รถเหล่านี้คือคำว่า Timeless หมายถึงอยู่เหนือกาลเวลา แม้กาลเวลาจะผ่านไปแต่ยังเป็นที่ต้องการเป็นที่โหยหา เป็นที่สนใจของคนรุ่นใหม่ๆ เหมือนบทเพลงคลาสสิกที่อาจจะโด่งดังในยุคสมัยหนึ่ง แต่ก็ยังกลับมาเป็นที่สนใจของคนรุ่นใหม่ เราจะไม่มีความรู้สึกว่ามันเก่า ไม่รู้สึกว่ามันเชย ก็พยายามจะเก็บรักษาให้เป็นแหล่งความรู้ให้เด็กรุ่นหลังได้มีโอกาสเห็น ผมมีหลานชายตอนนี้เพิ่งขวบกว่าๆ หวังว่าโตขึ้นเขาจะชอบ”

เป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างหนึ่งว่า คำว่า “คลาสสิก” คือสิ่งที่จะอยู่ได้ยาวนาน เพราะไม่ว่าจะยังไงถ้าคุณเห็นรถคลาสสิกมาวิ่งอยู่บนท้องถนนใน พ.ศ.นี้ คุณก็คงต้องเหลียวมองและเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกแน่ๆ :: Text by FLASH



กำลังโหลดความคิดเห็น