11th Anniversary Celeb Online Magazine
ในโอกาสครบรอบ 11 ปี พบกับสัมภาษณ์พิเศษเซเลบริตี้คู่แฝดที่ประสบความสำเร็จ 11 คู่ ตลอดเดือนตุลาคมนี้
>>หายหน้าหายตาไปพักใหญ่ หลังจากที่ Celeb Online เคยสัมภาษณ์เมื่อหลายปีก่อน สำหรับสองสาวฝาแฝดช่างพูดช่างคุยสุดไฮเปอร์ “พริม-พิมพิศา” และ “แพรว-พิชามญช์ ชมะนันทน์” หลานสาวของอดีตนายกรัฐมนตรี “เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์” ซึ่งสาเหตุที่หายไป แท้จริงแล้วบินไปศึกษาปริญญาตรีต่อถึงเมืองผู้ดี กลับมาเมืองไทยได้ไม่ทันไร Celeb Online จึงจีบมาอัปเดตเรื่องราวชีวิตในโอกาสครบรอบ 11 ปี โดยได้รับเกียรติบุกกันถึงบ้านอย่างที่น้อยคนนักจะได้มาเคาะถึงหน้าประตูบ้านของพวกเธอ
เรียกว่าเพิ่งจบปริญญาตรีมาหมาดๆ สำหรับแฝด “พริม-พิมพิศา” ที่สำเร็จมาทางด้าน International Management&Finance ที่ SOAS, University of London ขณะที่ “แพรว-พิชามญช์” กลับสนใจทางด้าน Interior Design ที่ University of the Arts, London และดูเหมือนว่าจะมีเพียงเรื่องเรียนเท่านั้นที่พริมและแพรวสนใจต่างกัน เพราะนอกเหนือจากนี้เธอทั้งสองแทบจะเหมือนกันทุกอย่างทั้งที่เป็นแฝดไข่คนละใบ
“อาจจะด้วยเป็นสไตล์การแต่งตัว การแต่งหน้าที่ชอบคล้ายๆ กันด้วย หรือว่าอยู่ด้วยกันมากเกินไป แต่เพื่อนๆ ก็จะแยกออกนะ ยิ่งถ้าเพื่อนมัธยมแยกไม่ออกนี่โกรธเลย บางคนแค่มองข้างหลังก็รู้แล้ว แต่ถ้าเพิ่งเจอกันจะแยกเราออกได้ตรงที่พริมจะมีไฝที่แก้ม แต่แพรวจะไม่มี แต่ด้วยวิธีพูดพริมจะเสียงสูงกว่า แพรวจะต่ำกว่า คือแพรวจะแอบขี้อายมากกว่า แต่ถ้าคุยกันในโทรศัพท์แม้แต่เพื่อนอนุบาลก็แยกไม่ออกว่าเป็นพริมหรือแพรว เพื่อนๆ จะเคยบอกว่าพริมจะมีสไตล์ที่หวานกว่า ส่วนแพรวจะสวยคมๆ เฉี่ยวๆ กว่า” แฝดพริมเริ่มต้นอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างเธอและแฝดแพรวอย่างสนุกสนานตามประสาสาวช่างคุย
เมื่อถามว่าคนไหนเป็นพี่ หรือเกิดก่อน ทั้งสองถึงกับลากเสียงยาวว่าคงต้องเล่ากันยาว โดยแฝดแพรวชิงเล่าราวกับจำได้ซะงั้น
“คุณหมอเล่าให้คุณแม่ฟังว่าตอนนั้นเด็กตัวใหญ่มากจึงต้องผ่าคลอด ตอนแรกแพรวออกมาก่อนแล้ว แต่ประมาณว่ามีแสงจ้าในห้องผ่าตัด แพรวเลยตกใจมุดกลับเข้าไปไม่ยอมออกมา คุณหมอเลยต้องอุ้มพริมออกมาก่อน จริงๆ เบื้องหลังคือพริมดึงขา ไม่ยอมให้แพรวออกมา” แพรวย้อนถึงที่มาที่ไปผสมปนเปกับการยิงมุกไปตลอดเรื่องจนสุดท้ายก็สรุปไม่ได้ว่าใครเป็น “พี่” หรือ “น้อง”
แต่ที่แน่ๆ คือพวกเธอเติบโตมาด้วยกัน ไปไหนไปกัน ท่ามกลางครอบครัวแสนอบอุ่นของ “คุณพ่อพงศ์พิพัฒน์” และ “คุณแม่กรองกาญจน์” ที่มีเรื่องราวมาแลกเปลี่ยนกัน พูดคุยกันอย่างสนุกสนานทุกวัน รวมถึงประสบการณ์อำคนแปลกหน้าเมื่อต้องมาเจอสองแฝดเป็นครั้งแรก
“เรื่องหลอกคนนี่มีตลอด อย่างแนะนำตัวเองสลับกัน แกล้งครูด้วยการสลับที่นั่งกันในห้องเรียน สลับหนังสือ แต่เรื่องสลับกันสอบนี่ไม่เคยนะ เพราะเราเรียนคนละวิชา ถ้าพริมไปสอบให้แพรว แพรวไปสอบให้พริม เราคงสอบตก” พริมเล่าประสบการณ์เฮี้ยวๆ สมัยเรียน
นอกเหนือจากใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงจนเอามาแกล้งคนรอบข้างเป็นเรื่องเฮฮาแล้ว กิจกรรมยามว่างก็ยังทำด้วยกันแทบจะทุกเรื่อง เพราะมีนิสัยอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน ตรงที่เป็นคนแอกทีฟ ไม่ชอบอยู่เฉย แถมเป็นกิจกรรมที่ดูจะขัดกับบุคลิกสาวสวยเสียด้วย โดยยามว่างสมัยเรียนมัธยมก็ชอบกิจกรรมสุดบู๊อย่างมวยไทย ฟันดาบ ไอคิโด ศิลปะป้องกันตัว ที่ไปร่ำเรียนถึงขนาดเป็นผู้ช่วยสอน และกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างโปรเจกต์พิเศษของพวกเธอ
“ตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษ เราทำละครเวทีด้วยเลยสนใจงานเบื้องหลัง ก่อนหน้านี้ทุกปิดเทอมก็เคยฝึกงานกับช่อง 3 ก็รู้สึกสนใจงานด้านนี้ ทำให้เราสงสัยว่ากว่าจะออกมาเป็นภาพแบบนี้ คนหลังกล้องทำงานกันอย่างไร กลับมาเมืองไทยคราวนี้ก็อยากลองดู พอเริ่มทำก็รู้สึกสนุก ตรงแนวของเรา ไอเดียตอนนี้คือกำลังทำเกมโชว์ ที่สอดแทรกการป้องกันภัยสังคม หรือศิลปะป้องกันตัวจากสิ่งที่เราเคยเรียนมา” พริมร่ายยาวถึงไอเดียการทำงานที่เธอทำร่วมกับแพรวอย่างตื่นเต้น ซึ่งอยู่ระหว่างการทำฟุตเทจ
ไม่เพียงแต่โปรเจกต์รายการทีวีเท่านั้น แม้แต่งานช่วยเหลือสังคมทั้งสองสาวก็สนใจ เรียกว่ากลับมาเมืองไทยไม่ทันไร ผุดไอเดียหยิบจับงานกันเป็นว่าเล่นชนิดที่ว่า 7 วันแทบไม่มีว่าง
“อีกโครงการที่เป็นงานอดิเรกของเรา คือเรื่อง Community Service เมื่อก่อนเราชอบจัดโปรเจกต์กับเพื่อนๆ เดินทางไปต่างจังหวัดสร้างโรงเรียน สร้างห้องสมุด หรือเป็นอาสา บางทีก็รวมตัวกันไปหาสปอนเซอร์ระดมทุนช่วยเหลือ อย่างตอนนี้รวมกลุ่มกับเพื่อนตั้งชื่อกลุ่ม The Connect แนวคิดของเราจะเป็นการ Raise Awareness กับคนวัยเดียวกับเรา ซึ่งเป็นวัยที่จะก้าวไปอีกสเต็ปหนึ่งของชีวิต ทุกคนจึงดูเหมือนยุ่งกับเรื่องของตัวเอง จนไม่มีเวลาช่วยเหลือสังคม
...หน้าที่ของเราคือเป็นตัวเชื่อมระหว่างพวกเขาและผู้ด้อยโอกาส และเรามองว่าโอกาสไม่ได้ให้เฉพาะกับเด็กที่ยากไร้เท่านั้น อย่างล่าสุด เพิ่งจัดปาร์ตี้ที่ลอนดอน รวมตัวนักเรียนไทยที่โน่น จัดอีเวนต์ แล้วนำรายได้มาช่วยเหลือสังคมที่เมืองไทย โดยล่าสุดก็ไปบริจาคที่ศูนย์โรคหัวใจเด็ก โรงพยาบาลราชวิถี และมูลนิธิกระจกเงา”
แพรวเล่าถึงโครงการเล็กๆ เพื่อสังคมที่พวกเธอภูมิใจนำเสนอ พร้อมกับแง้มอีกโปรเจกต์ที่เพิ่งปิ๊งไอเดียคือ การเป็นผู้จัดทอล์กโชว์ จากการเรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ มาให้ความรู้ สร้างแรงบันดาลใจ โดยเกริ่นเป็นไอเดียว่าจะเป็นคอนเซ็ปต์ Em Power Women ส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงในสังคม
อย่างที่กล่าวไปว่าพวกเธอมีพลังเหลือล้นแบบฉบับของคนรุ่นใหม่ เพราะนอกจากสารพัดโครงการที่พวกเธอริเริ่มเองแล้ว ยังเข้ามาช่วยดูแลธุรกิจของคุณพ่อในส่วน KYT : Known you seed (Thailand) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เพื่อนเกษตร” บริษัทวิจัยและผสมพันธุ์เมล็ดพันธุ์พืชของครอบครัวที่ดำเนินธุรกิจมานาน โดยแฝดทั้งสองเข้ามาช่วยในเรื่องการตลาดการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและพัฒนาโปรดักต์
แหม….จับแต่ละงานช่างต่างกันสุดขั้ว ความสามารถรอบตัวจริงๆ แต่กลายเป็นว่าทั้งสองสาวกลับกังวลกับเรื่องเล็กๆ อย่างที่ผู้หญิงทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน สูงต่ำดำขาว เผชิญอยู่ทั่วโลก นั่นคือ ปัญหาเรื่องความอ้วน
“จริงๆ ออกกำลังกายเยอะมาก ตอนเย็นก็ไปต่อยมวย แต่ก็ยังไม่ผอม” พริมเริ่มต้นบ่นก่อน
“อาจจะติดน้ำหวานด้วย ชอบกินของหวานทั้งคู่เลย แล้วจะมาพูดแบบเรามาลดกันจริงจังเถอะ แต่ตอนเย็น พิซซ่ากันไหม? ตอนแรกเราก็แบบเฮ้ย! นะ แต่ก็ใจอ่อน เห็นอาหารไม่ไหว แล้วไม่มีใครห้ามใครด้วย พ่อก็บอกลูกน่ารักแล้ว กินเยอะก็น่ารัก แต่แม่บอกช่วงนี้เริ่มอ้วนแล้วนะ ไม่ไหว ต้องไปลดนะ แต่ตอนกินไม่เห็นห้ามเลย ยิ่งพี่เลี้ยง (หนิง) ที่บ้านทำอาหารอร่อยด้วย เพื่อนๆ จะรู้กันเลย ตอนไปเรียนที่อังกฤษ ถ้าขี้เกียจทำกับข้าวเอง ก็ได้เขาทำ แต่เราล้าง เพื่อนมาที่บ้านก็เปิดมุมอาหารไทย ‘หนิง คิชเช่น’ เวลาแพ็กกระเป๋ากลับไปเรียนที่อังกฤษ ทั้งใบมีเสื้อผ้า 2-3 ชุด ที่เหลือคือซอส เครื่องปรุง พริกทั้งนั้น”
แพรวต่อเรื่องอ้วนๆ ทันควันไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ ถึงจะพร้อมเพรียงกับประสบปัญหาเอนจอยอีตติ้ง แต่เรื่องปัญหาหัวใจการันตีได้ว่าชอบหนุ่มๆ คนละแบบ ต่างสเปก ต่างรสนิยม 100 เปอร์เซ็นต์
พริม : “ขืนชอบสเปกเดียวกัน เหมือนกันก็แย่สิ พริมจะชอบขาวๆ สูงๆ ตี๋ แอบตูดบิดเหมือนตุ๊ดนิดหนึ่ง จริงๆ ชอบลูกครึ่งนะ แต่มันเลยจุดนั้นมาแล้ว”
แพรว : “แพรวจะชอบเข้มๆ แมนๆ คือยังไงผิวต้องเข้มกว่าเรา หน้าต้องแปลกๆ มีความเก๋ อะไรงี้”
พริม : “เอาที่สบายใจเลยค่ะ แต่ทุกคนที่เข้ามาไม่ใช่คุยแล้วเป็นแฟน แต่ทุกอย่างเริ่มจากการเป็นเพื่อนกัน พอเป็นเพื่อนก็ต้องรู้ และแยกเราออกว่าคนไหนเป็นคนไหน คือจะบอกว่านิสัยเราสองคนก็ต่างกันนะ”
แต่ละคนต่างทั้งพูดแทรก ขัด เสริม ผสมโรง กันกระจาย จนแทบจำไม่ได้เลยว่าใครพูดประโยคไหนกันบ้าง เพราะโต้ตอบกันไปมาชวนให้การสนทนาออกรสออกชาติ จนเดาไม่ออกเลยว่าจะไปจบกันตรงไหน
หากงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ก่อนลาจากทิ้งท้ายด้วยคำถามจริงใจในฐานะทายาทนักการเมือง หลานปู่ของ “เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์” นายกรัฐมนตรีคนที่ 15 ว่าเธอทั้งสองมีแนวโน้มจะมาเดินบนเส้นทางการเมืองหรือไม่?
“ตอนนี้ยังไม่สนใจ อาจจะไม่ใช่ทางของเรา ความที่เป็นผู้หญิงด้วย คุณพ่อก็เป็นห่วงเรื่องนี้ แต่อาจจะเป็นพาร์ตช่วยเหลือสังคม หรือเป็นอาสามากกว่าไปลงการเมือง เพราะตัวคุณพ่อก็ไม่ได้เดินในทางนี้ แต่ถ้าเป็นน้องชาย (แพลน-ภาณุสิชฌ์) ก็คงไม่แน่นะ เพราะเขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุมากๆ จนทุกคนทักว่าเป็นพี่ชายของพวกเรา”
เส้นทางอนาคตของพวกเธอทั้งสองจะหันไปทางใดนั้น ยังมีอีกหลายเส้นทางที่พวกเธอสนใจให้เลือกเดินอีกมาก แต่แผนที่มองเห็นแล้วคือ ทั้งสองสาวเตรียมไปเรียนต่อปริญญาโทในปลายปีหน้าแน่นอน! :: Text by FLASH